หน้าเว็บ

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องปล่อยว่าง

แด่ผู้มีพระคุณและท่านที่ชื่นชอบกีฬาที่ต้องใช้ข้อเข่า เอ็น อาทิ ฟุตบอล แบดมินตัน เทนนิส เป็นต้น
อันเนื่องมาจากผู้มีพระคุณซึ่งได้ทำให้ผมทราบว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ (อ่านตอนจินตนาการของผมดูนะครับ) มีอันต้องผ่าเข่าเนื่องมาจากเอ็นเข่าขาดจากการเล่นฟุตบอล ผมจึงขอตอบแทนบุญคุณท่านแบบจัดเต็มและค่อนข้างยาว เพื่อความสะดวกในการเลือกอาหารในการฟื้นฟูสุขภาพของท่านและเพื่อทุกท่านที่เชื่อว่า ความไม่เป็นโรค เป็นลาภอันประเสริฐครับ

ในภาวะที่ร่างกายของคนเรามีบาดแผล มีการการฉีกขาดของกล้ามเนื้อหรือเอ็นการรับประทานอาหารที่เหมาะสม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องเอาใจใส่ เพื่อช่วยให้บาดแผลหายได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ อีกทั้งช่วยลดการติดเชื้อของบาดแผลได้ดีอีกด้วยครับ
สารอาหารที่ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ได้แก่
โปรตีน
หรือที่รู้จักกันดีว่ามีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ รวมถึง ถั่วเมล็ดแห้ง โดยเลือกโปรตีนคุณภาพดีมีกรดอมิโนจำเป็นครบถ้วน เช่น เนื้อปลา หากกินอาหารมังสวิรัติแนะนำให้กินพวกธัญพืช และถั่วต่างๆ ให้หลากหลาย ทั้ง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง
โปรตีนจะช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ประสานยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน แนะนำให้รับประทานเพิ่มจากปริมาณเดิมที่เคยรับประทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะครับ
. เลือกไขมันดี กินข้าว แป้งให้เพียงพอ (ในอ้วน ตอน 1 )ได้อธิบายไว้ละเอียดพอสมควร)
ไขมันดี ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว และหลายตำแหน่ง ให้พลังงานสูง ช่วยป้องกันร่างกายสลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาใช้เป็นพลังงาน ใช้สร้างและซ่อมแซมเยื่อหุ้มเซล ช่วยให้แผลสมานเร็ว ไขมันดีพบในน้ำมันมะกอก รำข้าว งา ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ นอกจากนี้ มีกรดโอเมก้า-3 จากปลา จะช่วยลดการอักเสบและช่วยรักษาบาดแผล การกินอาหารประเภทข้าวแป้ง ข้าวไม่ขัดขาว ขนมปังโฮลวีต เผือก มันเทศ ผักผลไม้ต่างๆ การกินอาหารที่ให้พลังงานเพียงพอจะช่วยป้องกันร่างกายดึงโปรตีน ทำให้โปรตีนสามารถซ่อมแซมเนื้อเยื่อและรักษาบาดแผลได้อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่น้ำหนักเกินไม่ควรจำกัดอาหารเพื่อลดน้ำหนักจนกว่าแผลจะหาย ผู้ที่น้ำหนักน้อยควรกินอาหารเพิ่มขึ้น
วิตามินซี หรือ กรดเอสคอร์บิก (Ascorbic Acid)
วิตามินซี ทำหน้าที่สร้างผนังของเซลล์ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อโปรตีนสำคัญที่ใช้สร้างผิวหนัง รักษาบาดแผล ทำให้เส้นเลือดฝอยมีความแข็งแรง และเป็นส่วนประกอบสำคัญของหลอดเลือด เอ็นและกระดูก
และไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งยังช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น จึงทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้นครับเร็ว
การทำงานของวิตามินซีคือการผลิตและบำรุงรักษาสารคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์เสมอ สารคอลลาเจนทำหน้าที่หลักในการยึดเซลล์ผิวหนัง เหงือก และเอ็นไว้ด้วยกัน
พระเอกต้องมีตัวช่วยครับ และตัวช่วยการดูดซึมคือ
สารไบโอฟลาวานอยด์ พบในผลไม้และผัก จะช่วยกระตุ้นการดูดซึมวิตามินซี ซึ่งจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมีเกลือแร่แคลเซียมและแมกนีเซียมช่วย
และตัวร้ายก็ต้องมีคือ ตัวยับยั้งการดูดซึม
บุหรี่ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาเททระไซคลิน (รักษาการติดเชื้อและสิว) แอสไพริน และคอร์ทีโคสเทียรอยด์ (ใช้รักษาข้ออักเสบรูมาตอยด์) เหล่านี้ล้วนลดระดับวิตามินซีได้ครับ
ถ้าต้องการกินเพื่อสมานแผล ขนาด 200-250 มิลลิกรัมต่อวันก็เพียงพอแล้วครับ
เคยแจ้งให้ทราบกันหลายครั้งว่าทั้ง ยาและอาหารก็เกินขนาดได้เช่นกัน
การกินวิตามินซีปริมาณสูงเกินหนึ่งกรัม/วัน อาจทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหาเกิดอาการคล้ายท้องเสีย ขณะที่ผู้ซึ่งมีแนวโน้มเกิดก้อนนิ่วในไตไม่ควรกินวิตามินซีขนาดสูง วิตามินซียังอาจเปลี่ยนแปลงผลการตรวจเลือดและปัสสาวะและกลบผลการตรวจเลือดในอุจจาระ ซึ่งใช้วินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้นหากคุณกินวิตามินซีควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรตระหนักว่าวิตามินซีในปัสสาวะอาจทำให้ผลการตรวจหาระดับเลือดผิดพลาดได้
ผมจะเรียงลำดับของอาหารวิตามินซีพอเป็นสังเขปครับ
1. มะขามป้อม
มะขามป้อมผลสด 100 กรัม จะมีวิตามินซีแฝงอยู่ถึง 276 มิลลิกรัม
2. มะขามเทศ
เป็นรองมะขามป้อมนิดหน่อย
3. ฝรั่ง
โดยในเนื้อฝรั่งสด 100 กรัม (ประมาณ 1 ผลกลาง) จะมีวิตามินซีมากถึง 160 มิลลิกรัม
4. กีวี
กีวี 100 กรัมจะให้วิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม
5. ลิ้นจี่
ให้วิตามินซีถึง 71 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
6. มะละกอสุก
เนื้อมะละกอสุก 100 กรัม มีวิตามินซีราว ๆ 70 มิลลิกรัม
7. สตรอว์เบอร์รี
กินแค่ 100 กรัม คุณจะได้รับวิตามินซีถึง 66 มิลลิกรัม
8. เงาะ
เงาะ 100 กรัม จะให้วิตามินซีประมาณ 53 มิลลิกรัม
9. ส้มโอ
วิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม
10. พุทรา
วิตามินซีพอ ๆ กับส้มโอครับ
และก็ไม่ใช่แค่ผลไม้เท่าที่เห็นนะคะ ยังมีผักผลไม้อีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างคาดไม่ถึง อย่าง มะรุม มีวิตามินซีสูงถึง 272 มิลลิกรัม พริกหวาน พริกแดง บรอกโคลี ก็ให้วิตามินซีหลักร้อยมิลลิกรัมเช่นกันครับ
วิตามินเอ
มีส่วนช่วยกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อ หากขาดจะทำให้แผลติดเชื้อ แผลหายช้า แหล่งวิตามินเอ ได้แก่ ปลา ผักใบเขียว แตงโม มะละกอ พบมากในปลาและอาหารทะเล
วิตามินเอ จากผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆครับ
ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU
แหล่งวิตามินในธรรมชาติ จำนวน ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ
ผักตำลึง น้ำหนัก 100 กรัม 18,608 IU
ยอดชะอม น้ำหนัก 100 กรัม 10,066 IU
คะน้า น้ำหนัก 100 กรัม 9,300 IU
แครอท น้ำหนัก 100 กรัม 9,000 IU
ยอดกระถิน น้ำหนัก 100 กรัม 7,883 IU
ผักโขม น้ำหนัก 100 กรัม 7,200 IU
ฟักทอง น้ำหนัก 100 กรัม 6,300 IU
มะม่วงสุก 1 ผล(โดยเฉลี่ย) 4,000 IU
บรอกโคลี 1 หัว(โดยเฉลี่ย) 3,150 IU
แคนตาลูบ น้ำหนัก 100 กรัม 3,060 IU
แตงกวา 1 กิโลกรัม 1,750 IU
ผักกาดขาว น้ำหนัก 100 กรัม 1,700 IU
มะละกอสุก 1 ชิ้นยาว(โดยเฉลี่ย) 1,500 IU
หน่อไม้ฝรั่ง น้ำหนัก 100 กรัม 810 IU
มะเขือเทศ น้ำหนัก 100 กรัม 800 IU
พริกหวาน 1 เม็ด(โดยเฉลี่ย) 500-700 IU
แตงโม 1 ชิ้นใหญ่ 700-1,000 IU
กระเจี๊ยบเขียว น้ำหนัก 100 กรัม 470 IU
ในผู้ที่ผ่าตัดก็เพิ่มสัก 30 %ครับ
ธาตุสังกะสี
มีบทบาทช่วยสังเคราะห์โปรตีนและเนื้อเยื่อช่วยผลิตเซลล์ผิวใหม่และสมานแผล ธาตุสังกะสีจะช่วยให้เซลล์สามารถจับกับวิตามินได้มากขึ้น กระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น ธาตุสังกะสีพบมากในเนื้อสัตว์ หอยนางรม ตับ เนื้อ ไก่ ไข่ (มีสูงมากในนมแม่), ถั่ว (โดดเด่นในถั่วลิสง) อัลมอนด์ ชีส จมูกข้าวสาลี แป้งงา เนยงา เมล็ดฝักทอง เมล็ดแตงโม เม็ดก๋วยจี๊ ผงโกโก้ ช๊อคโกแลต บริเวอร์ยีสต์ครับ
ธาตุเหล็ก
เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนไปยังบาดแผล อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง พบมากในปลา ผักโขม ผักบุ้ง คะน้า ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ สามารถเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วย และดื่มน้ำวันละ 6–8 แก้ว น้ำเป็นส่วนประกอบหลักของเลือด หากขาดน้ำการไหลเวียนเลือดขาดประสิทธิภาพทำให้ออกซิเจนและสารอาหารลำเลียงไปยังบาดแผลไม่เต็มที่ บาดแผลที่รอซ่อมแซมสมานตัวช้า กินน้ำให้มากพอ หรือให้กินอาหารว่างที่มีน้ำ เช่น ซุปใส ผลไม้ที่มีน้ำจำพวกส้ม แตงโม
แต่เนื่องจากท่านต่อเอ็นด้วยจึงอยากให้สูตรบำรุงเอ็นไปเลย ครับ
อาหารที่ทำให้เส้นเอ็น ของคนเราแข็งแรงมากที่สุด คือ ข้าวกล้อง ครับ รองลงมาก็คือ เม็ดบัว ลูกเดือย และถั่วเม็ดแห้งประเภทต่างๆตามลำดับ สิ่งที่นำมาเอ่ยอ้างต่างๆเหล่านี้มีงานวิจัยทางโภชนาการยืนยันเรียบร้อยแล้วครับ แล้วยังมีรายการอาหารอื่นๆที่ช่วยบำรุงเส้นเอ็นอีกนะครับ เช่น..............
นมธัญพืช
ประกอบด้วย ข้าวกล้องเหลืองหรือข้าวซ้อมมือ 1 ส่วน , เม็ดบัวแห้งหรือสด 1 ส่วน , ลูกเดือย 1 ส่วน
วิธีทำ
แช่เม็ดบัวและลูกเดือยด้วยน้ำเกลือ (20 นาที) แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ใส่น้ำปริมาณท่วมพอดี ต้มด้วยไฟแรงจนเดือดแล้วต้มต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยไฟที่แรงเท่าเดิมจนสุก จะช่วยให้ไม่เหนียวติดหม้อ ค่อย ๆ เจือน้ำสะอาดผสมลงไปเพื่อลดอุณหภูมิ แล้วจึงนำไปปั่นกับข้าวกล้องที่หุงสุกแล้ว ปั่นพรืดแรกหยุดแล้วปั่นอีกพรืดก็หยุดได้ ต้มน้ำให้เดือดรอไว้ แล้วเทสิ่งที่ปั่นไว้ลงไป จะได้ไม่ติดก้นหม้อคนไปเรื่อยๆ จนเดือด ยกลงมาดื่ม
ถั่วสี่สี
เครื่องปรุง ถั่วดำ 1 ขีด , ถั่วเขียว 1 ขีด , ถั่วแดง 1 ขีด , ถั่วขาว 1 ขีด , นำถั่วทั้ง 4 อย่างไปคั่วให้สุกก่อนแล้วแช่น้ำรวมกัน ล้างให้สะอาด พักไว้……ลูกเดือย 1 ขีด ล้างให้สะอาด แล้วต้มให้สุก พักไว้ เม็ดบัว 1 ขีด ล้างให้สะอาด ต้มให้สุก พักไว้ รากบัว 1 ขีด ปอกเปลือกล้างให้สะอาด ต้มให้สุก พักไว้ มันเทศ 1 หัว ปอกเปลือกล้างให้สะอาด ต้มให้สุก พักไว้
วิธีทำ
นำเครื่องปรุงทั้งหมดมารวมกัน แล้วปั่นให้ละเอียด ต้มในหม้อใบใหญ่ ใส่น้ำมากๆ กรองเอากากออก นำน้ำที่ได้ไปต้มให้เดือด เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย หรือจะไม่ใส่ก็ได้ รับประทานได้เลย
สรรพคุณ - บำรุงกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ
ย๊าว ยาว อ่านเองยังเบื่อเลยครับ แต่เชื่อเถอะ ดีแน่ครับ สำหรับทุกคน ก่อนลากัน หมอนอกกะลา ก็ขอให้ทุกคนทุกท่านมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้าครับ สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น