หน้าเว็บ

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำไมต้องลดปริมาณโซเดียม

BELIEVE THE TRUTH
ตอน ทำไมต้องลดปริมาณโซเดียม
……………………………………………………
ผลของการมีโซเดียมต่ำ !!
อาการของโซเดียมในเลือดต่ำมีหลากหลายอาการ ตั้งแต่ไม่มีอาการเมื่อโซเดียมต่ำเพียงเล็กน้อยไปจนถึงมีอาการรุนแรง ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณโซเดียมในเลือดที่ต่ำมากหรือต่ำไม่มาก ตัวอย่างอาการที่พบบ่อยเช่น
อ่อนเพลีย อ่อนล้า ปวดศีรษะ สับสน(บ้า โดนของ) คลื่นไส้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว ชักหรือแม้แต่อาการโคม่า

……………………………………………………
คุณเชื่อใช่ไหมไม่ว่าเกลือในปริมาณสูงทำให้เกิดความกระหายและส่งผลต่อความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ... ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณอาจจะผิดก็ได้ !!
หลายการศึกษาล้มเหลวอย่างต่อเนื่องในการสนับสนุนความคิดเหล่านี้และในบางครั้งยังแสดงผลขัดแย้งกับความเป็นจริง
บทสรุปของการค้นพบต่อไปนี้อาจทำให้คุณประหลาดใจ:
-การรับประทานเกลือในปริมาณมากจะไม่ทำให้คุณกระหายหรือทำให้เกิดปัสสาวะมากขึ้น (ซึ่งอาจนำไปสู่การคายน้ำ) การศึกษาที่ (1) เกี่ยวข้องกับนักบินอวกาศชาวรัสเซียซึ่งเปิดเผยว่าการกินเกลือมากขึ้นทำให้ความกระหายของพวกเขาลดลง แต่เพิ่มความหิว การศึกษาที่ (2,3) และการวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ในสัตว์ (4) สนับสนุนผลดังกล่าวโดยแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีเกลือสูงทำให้ร่างกายเผาผลาญมากขึ้นและบีบให้สัตว์กินอาหารมากขึ้นราวร้อยละ 25 เพื่อรักษาน้ำหนัก นี่แสดงให้เห็นว่าเกลืออาจมีอิทธิพลที่น่าแปลกใจต่อน้ำหนักของคุณ
-มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการมีโพแทสเซียมที่สมดุลกับโซเดียมมีผลต่อการลดความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงและโรคหัวใ แต่อาหารที่ผ่านการแปรรูปมักมีโพแทสเซียมต่ำและมีโซเดียมสูง
-การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีเกลือต่ำจะทำให้โรคหัวใจและหลอดเลือดเลวลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในช่วงต้นของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ (5)
•ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 71 ของปริมาณเกลือของคุณมาจากอาหารแปรรูป (6) ดังนั้นถ้าคุณหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปคุณแทบจะไม่มีความเสี่ยงต่อการบริโภคเกลือมากเกินไป (7)การรับประทานอาหารที่ไม่แปรรูปจะทำให้อัตราส่วนของโซเดียมต่อโพแทสเซียมเหมาะสมกว่า
-เมื่อลดเกลือในอาหารสำเร็จรูปลง ผู้ผลิตจำนวนมากก็เริ่มที่จะเพิ่ม monosodium glutamate (ผงชูรส) ซึ่งเป็นสารเพิ่มรสชาติที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ปวดหัว ความเสียหายต่อดวงตา ความเหนื่อยล้าและภาวะซึมเศร้า(8) เนื่องจากความสามารถในการกระตุ้นเซลล์ประสาทให้มึนงงและนอกจากนี้ผงชูรสอาจทำให้คุณเสี่ยงต่อ
ความผิดปกติทางระบบประสาทเช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์คินสันและโรค Lou Gehrig's
!! ผลการตอบโต้ที่เปิดเผยแสดงให้เห็นว่าความเข้าใจที่เกี่ยวกับเกลือของเราเป็นอย่างไร...
น่าแปลกที่ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเกลือเป็นสิ่งที่น่าสงสารแต่นั่นคือสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคุณยึดมั่นว่าว่าวิทยาศาสตร์ในสมัยหนึ่งเป็นตัวตัดสินและคุณเชื่อในสิ่งนั้นอย่างฝังรากลึก
The New York Times: (9)
"ถ้าคุณกินเกลือมาก - โซเดียมคลอไรด์ – คุณจะกระหายน้ำและดื่มน้ำเพื่อทำให้เลือดของคุณลดความเข้มข้นของโซเดียมลงและในที่สุดคุณจะขับถ่ายเกลือส่วนเกินและน้ำทางปัสสาวะ ทฤษฏีนี้เรียบง่ายและมันอาจจะผิดอย่างสมบูรณ์ ... [งานวิจัยล่าสุด] ขัดแย้งเป็นอย่างมากต่อภูมิปัญญาดั้งเดิมเกี่ยวกับวิธีการที่ร่างกายจัดการกับเกลือและแสดงให้เห็นว่าเกลือในระดับสูงอาจมีบทบาทในการลดน้ำหนัก "
งานวิจัยนี้เป็นสุดยอดของการค้นคว้าโดย Dr. Jens Titze ผู้เชี่ยวชาญด้านไตที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ ซึ่งในปี 1991ได้รับความสนใจจากการค้นพบว่าผลปัสสาวะของนักบินอวกาศตามวัฏจักรเจ็ดวัน และดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลที่จะแสดงให้เห็นว่าทำไมผลการปัสสาวะของพวกเขาเพิ่มขึ้นและลดลงตามความเชื่อแบบดั้งเดิม
!! ร่างกายของคุณรักษาสมดุลของโซเดียมโดยไม่คำนึงถึงปริมาณเกลือ
จากนั้นในปี 1994
Dr. Jens Titze ได้ทำการศึกษารูปแบบการแสดงผลของปัสสาวะของลูกเรือบนสถานี Mir โดยการเก็บโซเดียมในปัสสาวะและตรวจปริมาณโซเดียมในร่างกายของนักบินอวกาศเป็นเวลา 28 วันและพบว่าโซเดียมในร่างกายไม่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ในปัสสาวะ นี่คือการค้นพบที่ทำให้งงงวยอย่างแท้จริง ตามที่ระบุไว้ในบทความนี้ : (10)
“ระดับโซเดียมควรจะเพิ่มขึ้นและลดลงตามปริมาตรของปัสสาวะ แม้ว่าการศึกษาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ Dr. Titze เชื่อมั่นในสิ่งอื่นมากกว่าของเหลวที่กินเข้าไปว่าจะมีอิทธิพลต่อโซเดียมที่เก็บในร่างกายของลูกเรือ
เมื่อลูกเรือกินเกลือมากขึ้นพวกเขาขับเกลือมากขึ้นและปริมาณโซเดียมในเลือดของพวกเขายังคงที่ ปริมาณปัสสาวะของพวกเขาเพิ่มขึ้น..ย้ำ ..เพิ่มขึ้น.. แต่แล้วเขาก็มองไปที่ปริมาณของเหลวที่กินเข้าไปและเขารู้สึกมากกว่าคำว่า “แปลกใจ”
แทนที่จะดื่มน้ำมากขึ้น..ลูกเรือกลับดื่มน้ำลดลง ... หลังจากการได้รับเกลือมากขึ้น แล้วน้ำที่ถูกขับออกมาจากที่ไหน…มีเพียงหนทางเดียวที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ "ร่างกายมีแนวโน้มในการผลิตน้ำเมื่อมีปริมาณเกลือสูงขึ้นสูง"
!! เกลือมีผลต่อการเผาผลาญที่น่าแปลกใจ !!
การค้นพบที่ทำให้งงงวยอื่น ๆ ก็คือนักบินอวกาศบ่นว่าหิวบ่อยๆเมื่อให้เกลือในปริมาณที่สูงขึ้น และที่น่าสนใจสุดๆก็คือผลการตรวจปัสสาวะพบว่าพวกเขากำลังผลิตฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoid hormones) มากขึ้นซึ่งส่งผลต่อการเผาผลาญและระบบภูมิคุ้มกันของพวกเขา
และการติดตามผลการทดสอบในสัตว์ยืนยันผลลัพธ์ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อหนูได้รับเกลือมากขึ้น
พวกเขายิ่งดื่มน้ำน้อยลงและกินอาหารมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียน้ำหนัก เหตุผลที่จะชี้ไห้เห็นได้ชัดก็คือสัตว์เหล่านี้ผลิตฮอร์โมน glucocorticoid เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ไขมันและกล้ามเนื้อลดลง
..ฮอร์โมนนี้สลายโปรตีนในกล้ามเนื้อและจะถูกแปลงเป็นยูเรียซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเพื่อช่วยให้ร่างกายของคุณขับถ่ายของเสียทางปัสสาวะผ่านกลไกที่ยังไม่ทราบบางอย่าง ยูเรียนี้ยังช่วยให้ร่างกายของคุณกักเก็บน้ำหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผลข้างเคียงของการบริโภคเกลือที่สูงขึ้นคือการปลดปล่อยน้ำให้ร่างกายของคุณใช้อย่างอิสระ
แต่อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้ใช้พลังงานมากซึ่งเป็นเหตุผลที่สัตว์ต้องการอาหารมากขึ้นเมื่อรับประทานอาหารที่มีเกลือสูงและนั่นคือเหตุผลที่ว่า..ทำไมนักบินอวกาศถึงร้องหิว.. Titze เชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน glucocorticoid ยังมีความรับผิดชอบต่อความผันผวนของวัฏจักรที่แปลกประหลาดในการแสดงออกของปัสสาวะ
นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าร่างกายที่หิวโหยจะเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อของตัวเองเพื่อการยังชีพ แต่การที่จะตระหนักว่าบางสิ่งบางอย่างคล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นกับอาหารที่มีรสเค็มอาจต้องพิสูจน์กันต่อไป” The New York Times (11)
“มนุษย์ทำเช่นเดียวกันกับที่อูฐทำ”
Dr. Mark Zeidel ผู้ชำนาญการด้านไตวิทยาจาก Harvard Medical School ผู้เขียนบทประพันธ์การศึกษาของ Dr. Titze กล่าวว่า “อูฐเดินทางผ่านทะเลทรายโดยที่ไม่มีน้ำดื่มแต่จะได้น้ำมาแทนที่จากการทำลายไขมันในโหนกของมัน”
หนึ่งในหลาย ๆ ความหมายของการค้นพบนี้ก็คือเกลืออาจมีส่วนร่วมในการลดน้ำหนัก โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าอาหารที่มีเกลือสูงจะกระตุ้นให้มีการบริโภคของเหลวมากขึ้นซึ่งจะเป็นการเพิ่มน้ำหนัก แต่ถ้าหากสามารถสมดุลปริมาณเกลือที่สูงขึ้นได้และเกลือที่เพิ่มขึ้นทำลายเนื้อเยื่อนั่นก็อาจเป็นการเพิ่มการใช้พลังงาน
ตามที่ Dr. Melanie Hoenig ผู้เชี่ยวชาญด้านไตและผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านเวชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า "งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าเราไม่เข้าใจผลของโซเดียมคลอไรด์ต่อร่างกาย" (12)
!! อัตราส่วน โซเดียม / โพแทสเซียม เป็นกุญแจสำคัญในการปรับความดันโลหิตของคุณให้เป็นปกติ
ในขณะที่เกลือได้รับการกล่าวโทษว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ การวิจัยแสดงให้เห็นว่ากุญแจสำคัญในการผ่อนคลายหลอดเลือดแดงและลดความดันโลหิตของคุณเป็นอัตราส่วนของโซเดียมต่อโพแทสเซียมที่คุณมีอยู่ –ไม่ใช่แค่เกลือเพียงอย่างเดียว(13)
โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่ร่างกายของคุณใช้เป็นอิเลคโตรไลท์ (สารในสารละลายที่นำไฟฟ้า) ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพและการทำงานตามปกติที่ดีที่สุด โพแทสเซียมส่วนใหญ่ของคุณอยู่ภายในเซลล์ซึ่งแตกต่างจากโซเดียมซึ่งอยู่ภายนอกเซลล์ของคุณ
โพแทสเซียมทำงานในร่างกายของคุณเพื่อผ่อนคลายผนังของหลอดเลือดแดง ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อของคุณเป็นตะคริวและลดความดันโลหิตของคุณ [14] การลดความดันโลหิตด้วยโพแทสเซียมถูกค้นพบจากการศึกษาว่าลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย(15)
งานวิจัยล่าสุด (16) พบว่าผู้หญิงที่ไม่มีดันโลหิตสูงและบริโภคโพแทสเซียมมาก (เกือบ 3,200 มิลลิกรัมต่อวัน) สามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองได้ถึงร้อยละ 21
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในปี 1997 ซึ่งมีการวิเคราะห์ 29 การทดลองยังพบว่าโพแทสเซียมในระดับต่ำส่งผลให้ความดันโลหิตสูง(17) การศึกษาต่อ ๆ มาค้นพบผลที่คล้ายกัน(18,19)
!! …โซเดียม / โพแทสเซียมของคุณจะสมดุลได้อย่างไร..!!
คำแนะนำโดยทั่วไปคือให้คุณกินโพแทสเซียมให้ได้จำนวน 5 เท่าของโซเดียม แต่สำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารสำเร็จรูปและกินผักสดน้อย นั่นเท่ากับว่าคุณกินโซเดียมมากกว่าโพแทสเซียมถึงสองเท่าและอัตราส่วนนี้จะผกผัน ความไม่สมดุลในอัตราส่วนนี้ไม่เพียงแต่จะสามารถนำไปสู่ความดันโลหิตสูงได้เท่านั้นแต่ยังนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้แก่ :
นิ่วในไต
การลดลงของหน่วยความจำ
ต้อกระจก
โรคกระดูกพรุน
................
หย่อนสมรรถภาพทางเพศ
...............
แผลในกระเพาะอาหาร
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
มะเร็งกระเพาะอาหาร
!! สิ่งดี ๆ ที่ควรทำก็คือการทบทวนคำแนะนำด้านสาธารณสุขเสียใหม่ !!
เพื่อให้ความสำคัญกับอาหารที่มีคุณภาพสูงและอุดมไปด้วยโพแทสเซียมมากกว่าการลดโซเดียมเนื่องจากโพแทสเซียมช่วยชดเชยความดันโลหิตสูงจากโซเดียมและนอกจากนี้โพแทสเซียมยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพที่สำคัญอีกหลายประการ
ประโยชน์ด้านสุขภาพอื่น ๆ ของโพแทสเซียม
โพแทสเซียมที่เพียงพอเกี่ยวโยงกับการฟื้นฟูหลังการออกกำลังกายอย่างหนักและปรับปรุงคุณภาพของกล้ามเนื้อ (20,21)ในฐานะอิเลคโทรไลท์ :โพแทสเซียมช่วยควบคุมความสมดุลของของเหลวในเซลล์และในร่างกายของคุณ (22) ความสมดุลของของเหลวนี้เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาชีวิต ป้องกันการคายน้ำในระดับเซลล์และรักษาความสามารถของสมองเอาไว้(23)
ตัวอย่างเช่น โพแทสเซียมมีความสำคัญในการส่งผ่านกระแสประสาทในสมอง ในเส้นประสาทไขสันหลังและในระบบประสาทส่วนปลายของคุณ (24) กระแสประสาทส่งข้อมูลจากเส้นประสาทเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นจากกิจกรรมทางไฟฟ้า กิจกรรมนี้เป็นสิ่งที่ใช้วัดค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจเมื่อต้องการติดตามกิจกรรมหัวใจ
โพแทสเซียมในระดับต่ำยังเชื่อมโยงกับระดับอินซูลินและกลูโคสที่สูงซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการอ้วนลงพุง (metabolic syndrome) และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (25) ผลการวิจัยเหล่านี้พบได้จากการศึกษาหลายชิ้น (26)
!! นักวิจัยชั้นนำแนะนำการเลือกอาหารที่เพิ่มระดับโพแทสเซียมแทนที่จะไปลดโซเดียม!!
กลยุทธ์สำคัญของคุณ – กินอาหารที่แท้จริง
การได้รับสารอาหารจากอาหารแทนที่จะเป็นอาหารเสริมดูจะเหมาะสมกว่าเนื่องจากอาหารของคุณมีสารอาหารมากกว่าหนึ่งอย่างและอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นโพแทสเซียมที่พบในผักและผลไม้คือโพแทสเซียมซิเตรตหรือโพแทสเซียมมาเลตในขณะที่อาหารเสริมมักเป็นโพแทสเซียมคลอไรด์
การคั้นน้ำผักสีเขียวเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้คุณแน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหารเพียงพอสำหรับสุขภาพที่ดีที่สุดรวมถึงโพแทสเซียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมรวมถึง:
กะหล่ำปลี 1 ถ้วย = โพแทสเซียม 1 กรัม
อะโวคาโด 1/2 ถ้วย = 1 กรัม
มันฝรั่งอบขนาดใหญ่ 1 หัว = 0.9 กรัม
ผักโขมที่สุกแล้ว 1 ถ้วย = 0.8 กรัม
บีทรู้ท 1 ถ้วย = 0.4 กรัม
นอกจากนี้ท่านยังสามารถเพิ่ม ลูกเกด ลูกพรุน แครอท มะเขือเทศ หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า หัวปลีและผักชีซึ่งล้วนแล้วแต่มีโพแทสเซียมสูงได้เช่นกัน ส่วนมะม่วงดิบ มะเขือยาว หอมหัวใหญ่ ผักบุ้งจีน มะละกอดิบ ถั่วพู (ฝักอ่อน) และพริกหวานมีโพแทสเซียมในระดับปานกลาง
รูปแบบของซิเตรตและมาเลทช่วยในการผลิตอัลคาไล(ความเป็นด่าง) ซึ่งอาจส่งเสริมสุขภาพกระดูก (27) และรักษามวลกล้ามเนื้อเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น( 28) การสูญเสียมวลกระดูกอาจนำไปสู่กระดูกเปราะหรือแม้แต่โรคกระดูกพรุน ในขณะที่โพแทสเซียมในผลไม้และผักอาจช่วยสร้างสุขภาพกระดูกได้แต่โพแทสเซียมคลอไรด์ไม่สามารถ
ในฐานะนักวิจัย Dr. Bess Dawson-Hughes จาก Tufts University อธิบายว่า : (29)
“ถ้าคุณมีด่างไม่เพียงพอในการปรับสมดุลกรดจากเมล็ดพืชและโปรตีนในอาหาร คุณจะสูญเสียแคลเซียมในปัสสาวะและคุณมีการสูญเสียกระดูก ... เมื่อร่างกายมีกรดมากเกินกว่าที่จะสามารถขับถ่ายได้ง่าย เซลล์กระดูกจะได้รับสัญญาณว่าร่างกายต้องการต่อต้านกรดด้วยด่าง ... และกระดูกเป็นอ่างเก็บด่างขนาดใหญ่ ดังนั้นร่างกายจะแบ่งกระดูกบางส่วนออกมาเพื่อเพิ่มความเป็นด่างลงสู่ระบบ "
งานวิจัยโดย Dawson-Hughes พบว่าคนที่มีค่าความเป็นกรด- ด่างอยู่ในช่วงที่เป็นกลาง พวกเขามีความสมดุลทางสุขภาพที่ดีของกระดูกและกล้ามเนื้อ
คำแนะนำง่ายๆในการเพิ่มความเป็นด่างและโพแทสเซียมคือการกินผักให้มากขึ้น ลดธัญพืชและอาหารแปรรูป (30) และเมื่อปรุงอาหารคุณก็จะสามารถควบคุมปริมาณเกลือที่คุณเพิ่มได้
!! เกลือที่ดีต่อสุขภาพและที่ไม่ดีต่อสุขภาพ!!
เมื่อคุณใช้เกลือ ให้แน่ใจว่ามันไม่ผ่านการฟอกและมีการแปรรูปน้อยที่สุด เกลือที่ผมชื่นชอบคือเกลือสีชมพูที่ผมมั่นใจว่าสะอาดและไม่มีการย้อมสีซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับกระดูก ก่อให้เกิดความสมดุลของของเหลวและสุขภาพที่ดีโดยรวมและสิ่งนี้ไม่สามารถพูดได้สำหรับเกลือฟอกขาวที่ทันสมัย
เกลือเป็นโภชนาการที่มีคุณค่าดั่งทองแต่คุณต้องกินชนิดที่เหมาะสม
เกลือมีสององค์ประกอบของธาตุ - โซเดียมและคลอไรด์ - ที่จำเป็นสำหรับชีวิต ร่างกายของคุณไม่สามารถสร้างองค์ประกอบเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองดังนั้นคุณต้องได้รับจากอาหารของคุณ กระบวนการทางชีววิทยาบางอย่างที่เกลือธรรมชาติมีความสำคัญ ได้แก่
-เป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำเลือด ของเหลวในน้ำเหลือง ของเหลวที่อยู่นอกเซลล์และแม้แต่น้ำคร่ำ
-นำสารอาหารเข้าและออกจากเซลล์ของคุณและช่วยรักษาสมดุลของกรด – ด่างของคุณ
-เพิ่มเซลล์ประสาทในสมองของคุณซึ่งรับผิดชอบในการคิดสร้างสรรค์และการวางแผนระยะยาว
-โซเดียมและคลอไรด์ยังจำเป็นสำหรับการยิงของเซลล์ประสาท
-ช่วยรักษาและควบคุมความดันโลหิต
-ช่วยให้สมองของคุณสื่อสารกับกล้ามเนื้อของคุณเพื่อให้คุณสามารถเคลื่อนย้ายตามความต้องการได้โดยการแลกเปลี่ยนไอออนโพแทสเซียม-โซเดียม
-สนับสนุนการทำงานของต่อมหมวกไตซึ่งผลิตฮอร์โมนที่สำคัญหลายสิบชนิด
เกลือธรรมชาติประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 84 และเกลือแร่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอีก 16 เปอร์เซ็นต์ได้แก่ ซิลิคอน ฟอสฟอรัสและวาเนเดียม ในขณะที่เกลือแปรรูป (table salt) มีโซเดียมคลอไรด์มากกว่า 97 เปอร์เซ็นต์; ……ส่วนที่เหลือเป็นสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้นเช่นตัวดูดซับความชื้นและสารกันการรวมตัวเป็นก้อน (flow agents) หรืออาจเพิ่มไอโอดีนลงเล็กน้อย
บางประเทศในแถบยุโรปซึ่งยังไม่เคยได้ลิ้มลองอันตรายจากผลพวงของฟลูออร์ไรด์ยังเพิ่มฟลูออไรด์ในเกลืออีกด้วย(31) ตัวอย่างเช่นในประเทศฝรั่งเศสร้อยละ 35 ของเกลือที่ขายกันอยู่จะประกอบด้วย โซเดียมฟลูออไรด์หรือฟลูออรีนโพแทสเซียมและนอกจากนี้การใช้เกลือฟลูออไรด์เป็นที่แพร่หลายในอเมริกาใต้เป็นอย่างมากซึ่งเป็นอันตรายต่อสมอง
!! ย้ำ !!
นอกเหนือจากความแตกต่างพื้นฐานในด้านโภชนาการแล้ว....การแปรรูปยังทำให้โครงสร้างทางเคมีของเกลือเป็นไปอย่างรุนแรง ดังนั้นในขณะที่คุณต้องการเกลือเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดและไม่ใช่แค่ความเค็ม......
!! สิ่งที่ร่างกายต้องการคือ..เกลือธรรมชาติที่ไม่มีการแปรรูปและไม่มีสารเคมีเพิ่มเข้ามาใช่หรือไม่..
ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
สวัสดี
1 Journal of Clinical Investigation May 1, 2017; 127(5): 1932-1943
2 American Thinker May 9, 2017
3 The Week May 9, 2017
4 Journal of Clinical Investigation May 1, 2017; 127(5): 1944-1959
5 New York Post December 30, 2012
6 US News May 9, 2017
7 American Journal of Public Health 2013 February; 103(2): e3
8 Experimental Eye Research 2002 Sep;75(3):307-15
9, 10, 11 New York Times May 8, 2017
12 Babwnews.com May 14, 2017
13 Advances in Nutrition, 2014; 5:712
14 Harvard Health Publications, January 23, 2017
15, 16 Stroke 2014; 45(10):2874
17 Journal of the American Medical Association 1997;277(20):1624
18 Journal of Human Hypertension 2003; 17(7):471
19 BMJ 2013; 346:f1378
20 Journal of Internal Medicine 2002;252(1):56
21 Sports Medicine 1991; 11(6):382
22 Berkeley University, Fluid and Electrolyte Balance
23 Nursing Standard, 2008; 22(47):50
24 Eastern Kentucky University, Neurons and the Nervous System
25 Johns Hopkins Medicine March 2, 2011
26 Expert Reviews in Endocrinology and Metabolism 2011;6(5):665
27 New York Times, November 24, 2009
28 American Journal of Clinical Nutrition 2008; 87(3):662
29, 30 Nutrition Action, September 16, 2015
31 Poisonfluoride.com Fluoridated Salt FAQ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น