หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อาหารต้านมะเร็งและโภชนาการที่จะช่วยผู้ที่จำเป็นต้องใช้วิธีเคมีบำบัด


ผมมีผู้ป่วยโรคนี้อยู่มากพอสมควรและสิ่งที่สร้างความกังวลก็คือ ทั้งๆที่ผู้เชี่ยวชาญของผู้ป่วยกำลังจะกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่กลับให้ผู้ป่วยกินอาหารเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของมันนี่ซิ....มันน่าเศร้า!!!!ความจริงต่อไปนี้ ย๊าว ยาว ...แต่อ่านให้จบนะ เพราะนี่คือ...ร่างกายที่สุดจะเก่งกาจของคุณ..ตามมาครับ ความจริงก็คือในปี 2013 สหราชอาณาจักรได้ออกมาประกาศสิ่งที่เข้าใจผิดและเป็นอันตรายจากข้อมูลที่ล้าสมัย ในอเมริกาเองศูนย์มะเร็งเช่น MD Anderson และ Memorial Sloan-Kettering พูดคุยเกี่ยวกับการปรุงแต่งทางโภชนาการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยรักษาและการต่อสู้กับโรคมะเร็งขึ้นได้ดียิ่ง สมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน พูดคุยเกี่ยวกับการค้นคว้าจากการวิจัยซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาหารที่ดีสามารถขยายเวลาของการอยู่รอดออกไปและแม้กระทั่งหายจากโรคมะเร็ง สถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกาได้รับรอง
รายงานนี้และได้ดำเนินการวิจัยและผลที่ได้แสดงให้เห็นว่า อาหารที่ไม่ดีจะช่วยให้โรคมะเร็งเกิดซ้ำได้ในขณะที่อาหารที่ดีจะช่วยหยุดเซลล์มะเร็งและปล่อยให้มันฝ่อไปเองได้ จากนั้นก็มีการวิจัยมากมายที่ระบุว่า: - * ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะอยู่รอดได้น้อย - พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเวลาที่สั้นที่สุด * เกลือเป็นพิษต่อเซลล์ที่มีสุขภาพดีและสามารถลดระดับออกซิเจนและกำลังงานของเซลล์ * ไขมันที่ไม่ดีเช่น ไขมันทรานส์ น้ำมันทอดซ้ำ สามารถส่งผลต่อตับและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างรุนแรง * นมวัวมีฮอร์โมนการเจริญเติบโต (IGF-1) เป็นที่รู้จักกันว่ามันจะส่งเสริมให้เกิดโรคมะเร็งและเร่งการแบ่งตัว ทำไมต้องให้อาหารเหล่านี้แก่พวกเขาซึ่งมันดูเหมือนว่ามันจะสนับสนุนการเจริญเติบโตของโรคมะเร็งไปในเวลาเดียวกันกับที่แพทย์ผู้รักษามะเร็งของคุณกำลังดิ้นรนเพื่อฆ่ามะเร็งไม่ใช่หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้มีงานศึกษาวิจัยที่สำคัญๆออกมาซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า การอดอาหาร (FASTING) การตัดอาหารขยะจะสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคมะเร็งได้! Cachexia.. ภาวะผอมหนังหุ้มกระดูกในผู้ป่วยมะเร็ง: คำตอบของ National Health Service (ในสหราชอาณาจักร) ซึ่งให้การบริการด้านสุขภาพแห่งชาติ โดยให้บริการผ่านทางโรงพยาบาลและศูนย์บริการประจำท้องถิ่นกล่าวว่ามีถึงร้อยละ 7 ของผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัดกำลังมีปัญหาอย่างรุนแรงกับ cachexia ซึ่งการรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นสาเหตุของการสูญเสียน้ำหนักอย่างรุนแรงและนำไปสู่ความตาย และแน่นอนแพทย์ก็ไม่ต้องการให้ยาของพวกเขาถูกกล่าวหาว่าฆ่าคนใช่หรือไม่ !! มันเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ดังนั้นนักโภชนาการจึงมีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อฟื้นฟูร่างกายของคุณและทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มขึ้น แต่อย่างก็ตาม เราก็ไม่สามารถที่จะเห็นด้วยว่าแคลอรี่ในอาหารหรือ อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันควรได้รับการแนะนำแก่ผู้ป่วยร้อยละ 93 ที่เหลือ สมาคมโรคมะเร็งอเมริกันได้เน้นย้ำว่า วิธีการควบคุมน้ำหนักเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อสู้กับมะเร็ง โรงเรียนการแพทย์ Northwestern University มีการวิจัยซึ่งแสดงให้เห็นว่าการควบคุมน้ำหนักและการลดน้ำหนักโดยเจตนาของคนอ้วนช่วยเพิ่มเวลาการอยู่รอดและงานวิจัยจากอิตาลีแสดงให้เห็นถึง การจำกัด แคลอรี่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีการรักษาด้วยเคมีบำบัด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาด้วยรังสี อาหารสำหรับผู้เข้ารับเคมีบำบัดควรที่จะสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมของแพทย์ที่รักษามะเร็งของคุณ และควรเสริมสร้างร่างกายของคุณรวมถึงลดผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัดถ้าเป็นไปได้... แล้วทำไมต้องให้อาหารมะเร็งที่คุณกำลังพยายามที่จะฆ่ามันล่ะ.. นอกจากนี้ ในการวิจัย 2012/3 ครอบคลุมเรื่องมะเร็งแสดงให้เห็นว่าการบริโภคน้ำมันปลาในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดที่ต้องใช้เคมีบำบัดช่วยเพิ่มความอยากอาหารและลด cachexia (British Journal of Nutrition) และนี่อาจเป็นจริงสำหรับโรคมะเร็งอื่น ๆ อีกด้วย 3. ผลการวิจัยใหม่ๆพบว่า: งานศึกษาวิจัยทั้งหมดที่ผมพูดถึงอยู่ในเว็บไซต์ Cancer Watch on the CANCER หลายงานศึกษาวิจัยที่สำคัญหลายอย่างดูเหมือนจะชี้ไปในทางที่ว่า อาหารอะไรคือคำตอบที่ดีที่สุดถ้าคุณต้องใช้เคมีบำบัด:
 ก) 2013 การวิจัยใน Cancer Watch ให้ความเห็นว่า การจำกัด แคลอรี่จะเพิ่มการอยู่รอดสำหรับผู้ที่รักษาด้วยรังสีและเคมีบำบัด (ตัวอย่างเช่น Dr Andrew T Turrisi บรรณาธิการของนิตยาสารการแพทย์รักษามะเร็ง เขียนเกี่ยวกับการศึกษาว่า : ยิ่งให้อาหารมะเร็งน้อย ก็ยิ่งเพิ่มโอกาศรอด) ข) มากกว่า 6 การศึกษาในช่วงสามปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็น น้ำตาลเป็นอาหารที่ดีของเซลล์มะเร็ง ใน 2012/3 Cancer Watch ได้ครอบคลุมวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าฟรักโทสในปริมาณสูง (เครื่องดื่มมีฟอง) ถูกพบว่า เป็นสิ่งที่เลวร้ายยิ่ง ....ตัดน้ำตาลเหล่านี้ออกจะจำกัดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (UCLA) ค) The University of South Florida ได้แสดงให้เห็นว่า การงดให้อาหารพวกน้ำตาลแก่ร่างากายโดยใช้ไขมันดี สามารถพลิกโรคมะเร็งในหนูที่ติดเชื้อให้กลับมามีสุขภาพที่ดีได้ อาหารไขมันที่ดีรวมถึง ไข่ อะโวคาโด น้ำมันมะกอกสกัดเย็น น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์และอื่น ๆ สิ่งนี้เรียกว่าอาหาร Ketogenic เซลล์ที่มีสุขภาพดีสามารถเผาผลาญคีโตนให้เป็นพลังงาน แต่เซลล์มะเร็งจะต้องมีคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำตาลกลูโคส ดังนั้นคุณจึงควรหยุดกินพวกมันซะ ง) ในปี 2012 เป็นปีที่งานวิจัยหลั่งไหลออกมาราวสายน้ำและกล่าวถึง สารประกอบในธรรมชาติตัวอย่างเช่น polyphenols, resveratrol, quercitin ชาเขียว ขมิ้นชันและแม้กระทั่งยาแอสไพริน ซึ่งทุกตัวแสดงให้เห็นการหยุดการเกิดซ้ำของโรคมะเร็ง การเจริญเติบโตและการแพร่กระจาย ฯลฯ รายงานของ American Cancer Society ทบทวนงานวิจัยตั้งแต่ปี 2006 กล่าวว่า การควบคุมน้ำหนักสามารถป้องกันการกลับมาเกิดมะเร็งได้ นักวิจัยที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกาได้แสดงให้เห็นว่าอาหารที่ไม่ดีสามารถก่อให้เกิดมะเร็งและจะกลับมาอีกรอบในขณะที่อาหารดี ๆสามารถหยุดพวกมันได้ ดังนั้น พยายามจำและจดสิ่งต่างๆที่ผมเคยโพสต์ไปแล้วให้ดี ๆ ว่าสิ่งสำคัญที่จะต้องหลีกเลี่ยงในตอนที่ผ่านๆมาคืออะไรและแน่นอนรวมถึง:
    1. เซลล์มะเร็งต้องการน้ำตาลเป็นจำนวนมาก มันค่อนข้างชัดเจนว่าทำไมการอดอาหารหรืออาหาร ketogenic (ที่ให้ผู้ป่วยมุ่งเน้นไปที่ไขมันที่ดีและโปรตีนที่มีคุณภาพโดยปราศจากคาร์โบไฮเดรตในอาหารของพวกเขา) อาจหยุดการเจริญเติบโตของมะเร็ง เซลล์มะเร็งไม่เหมือนปกติเซลล์ที่มีสุขภาพดี มีสามปัจจัยสำคัญที่ควรจะเข้าใจ: เซลล์ที่มีสุขภาพดีผลิตพลังงานจากการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษโดยอาศัยออกซิเจนในไมโตคอนเดรีย (mitochondria); ในขณะที่เซลล์มะเร็งสร้างพลังงานในกระบวนการที่ด้อยประสิทธิภาพมากในเซลล์ของมันโดย การเผาผลาญน้ำตาลแม้ไม่มีออกซิเจน . Otto Warburg ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1931 บอกไว้ในเรื่องนี้ และกลั่นกรองอีกครั้งโดย Krebs ด้วยทฤษฎีที่ว่า การทำงานของmitochondria ในเซลล์มะเร็ง ถูกปิดตัวลง จากเซลล์ดั้งเดิม ผลิตภัณฑ์ของเสียจากกระบวนการสร้างพลังงานโดยมะเร็งนี้เป็นรูปแบบของกรดแลคติกและถูกทำลายโดยตับเท่านั้น ตับกำจัดกรดแลคติกเหล่านี้และผลิตสารที่ไม่เป็นอันตรายที่เรียกว่า ..... กลูโคสซึ่งผ่านกลับไปรอบๆร่างกายและเป็นให้อาหารที่ดีต่อเซลล์มะเร็งตลอดเวลา 'เซลล์แปลกปลอม' อยู่เหนือการควบคุม - ในขณะนี้มันได้สร้างระบบอาหารเป็นของตัวเอง;โดยใช้ระบบของร่างกายในการเจริญเติบโต! ด้วยระบบการผลิตพลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพมากและมะเร็งต้องการที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว...น้ำตาลกลูโคสคือสิ่งที่มันต้องการอย่างแรงกล้า เพียงหนึ่งหรืออีกสองเชื้อเพลิงอื่น ๆ ที่อาจจะนำมาใช้แทนได้: ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยที่มีความชัดเจนกล่าวว่า: ฟรักโทสในน้ำเชื่อม น้ำผึ้งและผลไม้ยังสามารถเป็นอาหารที่ดีของมะเร็ง แต่คีโตนจากไขมันเท่านั้นที่สามารถเลี้ยงเซลล์ที่มีสุขภาพดี; ในขณะที่คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะมีการพัฒนาของโรคมะเร็งมากขึ้นและอยู่รอดได้น้อยที่สุด... แล้วทำไมต้องให้อาหารแก่เซลล์มะเร็งด้วยล่ะ... หลีกเลี่ยงขนมเค้ก ขนมปังเหนียว ช็อคโกแลต น้ำตาลในชา กาแฟ น้ำอัดลม อาหารแปรรูปและทุกอย่างที่มีน้ำตาลซิ
    2. มะเร็งต้องฮอร์โมนการเจริญเติบโตมากที่สุดเท่าที่พวกมันจะสามารถหาได้ เมื่อเร็วๆนี้นักวิทยาศาสตร์เพิ่งทำการศึกษาในผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม โดยการให้ยากลุ่มbisphonates ซึ่งเป็นยาเสริมสร้างความเข้มแข็งของกระดูก ทำไมน่ะรึ... ก็เพราะโรคมะเร็งเต้านมโจมตีกระดูกจนกระดูกต้องพยายามที่จะปกป้องและเสริมสร้างตัวเองโดยการผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโต แล้วมะเร็งก็กล่าวว่า ''ขอบคุณค่ะ ถ้าเซลล์นั้นเป็นเพศหญิง” และใช้สิ่งนี่เพื่อการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของมันเอง ตอนนี้มันควบคุมระบบของร่างกายได้จริงๆ แล้วทำไมคุณต้องเพิ่มฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้มันมากขึ้นจากนมวัว .. หลีกเลี่ยงนมวัวก็ลดการเจริญเติบโตของพวกมัน
     3. โรคมะเร็งต้องการเลือดเพื่อการเจริญเติบโต นักวิทยาศาสตร์ยังทราบอีกว่าเนื้องอกต้องการที่จะเติบโตและต้องการเลือดที่เพิ่มขึ้น พวกเขามองหายากลุ่ม thalidomide เพื่อจะหยุดการก่อตัวใหม่ของหลอดเลือดในเนื้องอกที่เป็นมะเร็ง ฮอร์โมนการเจริญเติบโตและปัจจัยอื่น ๆ ในร่างกายของคุณสามารถได้รับการกระตุ้นจากอาหารที่คุณกิน แต่การวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอาหารอื่น ๆ (เช่นกระเทียม, สารสกัดจากเมล็ดองุ่นและ ขมิ้น) สามารถชะลอหรือแม้กระทั่งหยุดกระบวนการนี้.. เหล่านี้คือสิ่งที่ควรกินทุกวันไม่ใช่หรือ..
    4. อาหารที่ไม่ดีช่วยเร่งมะเร็ง; อาหารที่ดีสามารถหยุดมันได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาสามารถบอกผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมได้ว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นบวกหรือไม่ Oestrogen เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ร้อยละ 70 ของผู้หญิงที่เป็นมะเร็ง ฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นบวกจึงทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามหายาเพื่อจะลดการผลิตเอสโตรเจน (Aromatase Inhibitors) แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้มีความกระจ่างชัดแล้วว่ามะเร็งหลายชนิด (ทั้งชายและหญิง) เกิดจากการขับเคลื่อนของเอสโตรเจน ตัวอย่างเช่น เนื้องอกในสมอง, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งต่อมลูกหมาก, มะเร็งปอดไม่ใช่เพียงแค่มะเร็งมดลูกและเต้านมในผู้หญิงเท่านั้น และเอสโตรเจนก็ไม่ได้ขับเคลื่อนพวกมันทั้งหมดในทิศทางเดียวกัน สองเส้นทางโดยรวมที่พบคือ – หนึ่ง ลักษณะที่เอสโตรเจนขับเคลื่อน สเต็มเซลล์ และอื่น ๆ ที่oestradiol ทำให้เกิดความเสียหายภายในเซลล์ปกติ การศึกษาในปี 2012 จำนวนมากมุ่งเน้นไปที่บทบาทของเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งในการก่อเนื้องอก การทำงานที่ St Bart´s and the Blizzard Institute ในกรุงลอนดอนในขณะนี้ได้แยกเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งจากเนื้องอกได้แล้ว เซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งเป็นเซลล์ขับเคลื่อนของโรคมะเร็งโดยใช้เอสโตรเจน เคมีบำบัดอาจทำลายเนื้องอกทั้งหมด แต่ถ้าเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งสักเซลล์หนึ่งยังคงอยู่มันก็จะสามารถสร้างใหม่ได้อีกรอบ Young S. Kim of the National Cancer Institute in Bethesda, USA ได้แสดงให้เห็นว่าการกินอาหารไม่เหมาะสมและสารอาหารเหล่านั้นอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียการกำกับดูแลของโมเลกุลและส่งเสริมความผิดปกติหรือไม่สามารถควบคุมการต่ออายุตัวเองของเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง แต่การรับประทานอาหารอื่น ๆ ที่มีสารธรรมชาติที่เฉพาะเจาะจงสามารถหยุดมันได้ ดังนั้นคุณสามารถใคร่ครวญเองได้ว่า อาหารอะไรไม่เหมาะสมสำหรับตัวคุณเอง- หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการทั้งหมด – ฟอกสี, น้ำมัน, อาหารขยะและอื่น ๆ อย่าเอาเข้าปากของคุณถ้ามันไม่ได้เป็นธรรมชาติ ... ดังนั้น!!!เหตุใดจึงต้องกินอาหารที่ไม่ดีถ้ามันทำให้มะเร็งของคุณเจริญเติบโต!!! กินอาหารดีๆ สดๆจากธรรมชาติ: ชื่อสารในธรรมชาติรวมถึง สาร sulphoraphanes ในผักตระกูลกะหล่ำ, ขมิ้นชัน, piperine ในพริกไทยดำ, theanine ในชาเขียว และโคลีน วิตามิน A และ D ,genistein ในเปลือกสีขาวๆของผลไม้ตระกูลส้ม(ซึ่งสามารถสกัดกั้นเอสโตรเจน) และ EGCG จากชาเขียว นักวิจัยได้ระบุว่าสารอาหารเหล่านี้สามารถนำมาเป็นอาหารเสริม ส่วน ขมิ้นชันหรือขมิ้นสามารถรับประทานได้ทุกวันเป็นอาหารเสริม piperine (จากพริกไทยดำดูเหมือนว่าจะช่วยในการดูดซึม); วิตามินดีเป็นสิ่งสำคัญในโปรแกรมป้องกันโรคมะเร็ง - ถ้าคุณไม่สามารถไปอยู่ในแสงแดดเป็นเวลา 45 นาทีต่อวันได้ เสริมด้วยวิตามินดี 5,000 IUs ต่อวัน เครื่องดื่มชาเขียว 4-7 ถ้วยต่อวันหลีกเลี่ยงกาแฟก็ดีต่อการต้านมะเร็ง ชาเขียวมีสาร EGCG ซึ่งเป็นโพลีฟีนอลที่แข็งแกร่งและมีสารต้านอนุมูลอิสระ และความสามารถในการต้านมะเร็ง ชาเขียวยังมีสาร Theanine ซึ่งสามารถข้ามอุปสรรคในเลือด / สมองและเป็นที่รู้จักกันว่าเพื่อลดความเครียดและเพิ่ม glutamine/glutamate ที่ช่วยในการเพิ่มออกซิเจนในร่างกายและเซลล์ โคลีน,วิตามินบีอื่นยังข้ามอุปสรรคในเลือด / สมองช่วยลดไขมันในตับและร่างกายและเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ที่ถูกต้อง การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า เอสโตรเจนก่อให้เกิดความเสียหาย (2)เอสโตรเจนไม่ได้เป็นสารเคมีเดี่ยวแต่เป็น 'ตระกูล' ของสารเคมี มีเอสโตรเจนหลายตัวที่สามารถเชื่อมโยงกับตัวรับบนผนังของเซลล์สุขภาพดี และที่อันตรายที่สุดเอสโตรเจนสร้างความเสียหายภายในเซลล์และขับเคลื่อนมะเร็งบางชนิด ดังนั้นการรับประทานอาหารของคุณสามารถช่วยขัดขวางได้: เนื้อสัตว์และไขมันอิ่มตัวสามารถเพิ่มการผลิตสโตรเจนในเชิงรุกและผลักดันโรคมะเร็งของคุณในขณะที่อาหารพวกผักสามารถช่วยป้องกันตัวรับที่ผนังเซลล์ได้ 5 เกลือ!!!สามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่เหมือนกับเอสโตรเจนในเซลล์: อาหารที่มีเกลือโซเดียมสูงแต่แมกนีเซียมและโพแทสเซียมต่ำสามารถสร้างพิษในเซลล์และสถานีพลังงานในเซลล์ของคุณและสร้างผลกระทบเช่นเดียวกับ เอสโตรเจน คุณจำเป็นต้องกินเกลือให้น้อยหรือไม่กินเลยและกินอาหารที่มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่สูงจะได้ตอบโต้ผลกระทบนี้ การศึกษาของ EPIC ได้แสดงให้เห็นว่าการบริโภคแมกนีเซียมที่สูงกว่าหมายถึงโรคมะเร็งที่น้อยกว่า องค์การอนามัยโลกได้กล่าวว่าการตัดการบริโภคเกลือหมายถึงการลดโรคมะเร็ง เกลือแกงทั่วๆไปประมาณร้อยละ 95 เป็น'เกลือทะเล':ซึ่งเป็นแค่เพียงโซเดียมคลอไรด์กลั่น – ที่พยายามหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายและถ้าคุณจำเป็นต้องใช้เกลือก็ควรเลือกใช้เกลือจากทะเล เดดซี หรือเกลือหิมาลัย หลีกเลี่ยงการกินอาการผ่านกระบวนการ อาหารกระป๋องและอาหารที่บรรจุสำเร็จรูป เนื้อสัตว์แห้ง ไส้กรอกและอาหารจีน (ผงชูรสเป็นโซเดียมที่สูง) ทำไมคุณต้องการอาหารที่มีรสเค็มล่ะ...ถ้าคุณมีโรคมะเร็ง 6 ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณสามารถกำจัดมะเร็งให้ออกจากตัวคุณได้: นักวิทยาศาสตร์กำลังมองหาสิ่งที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันจากยาและการรักษาอาทิเช่น Interleukin หรือ Interferon เพื่อที่จะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็ง แต่เรารู้ว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงกดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและไขมันสัตว์ในปริมาณสูงก็ไปลดการทำงานของตับและระบบน้ำเหลืองก็ยังไปกดการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันของคุณ ในทางกลับกันสารธรรมชาติรวมทั้งสารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากเปลือกสน, วิตามินอี,สารเบต้ากลูแคนสามารถเพิ่มระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นภูมิคุ้มกันของคุณ.... ดังนั้นคุณต้องการที่จะกดระบบภูมิคุ้มกันของคุณหรือเพิ่มมันล่ะ 7 ความรู้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา: นอกจากนี้เรายังรู้อีกว่ามีปัจจัยเฉพาะจำนวนมากในเซลล์มะเร็ง ยกตัวอย่างเช่น เซลล์มะเร็งมีตัวรับวิตามิน D ที่ผนังเซลล์มากกว่าปกติและตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาการศึกษาวิจัยที่สำคัญๆ ได้แสดงให้เห็นว่าวิตามินดีดูเหมือนว่าจะทำให้เซลล์กลับมาเป็นปกติ / แก้ไขและแม้กระทั่งการฆ่าเซลล์มะเร็ง วิตามิน D ทำงานเช่นเดียวกับฮอร์โมนมากกว่าเป็นวิตามินและในที่สุดอาจจะอยู่ในรูปแบบที่เข้มข้นมากกว่ายา แล้วจะรออะไรล่ะ!!! คุณสามารถที่จะสนุกกับแสงแดดเป็นเวลา 45 นาทีต่อวันหรือถ้าไม่มีแดดก็กินอาหารเสริมซิ วิตามิน K ในขณะนี้การศึกษาวิจัยต่างๆพบว่าช่วยให้การดำเนินงานของวิตามิน D เป็นไปได้ด้วยดี คุณจะได้รับวิตามิน K จากผักสีเขียวต่อวันถ้าคุณมีแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณ แบคทีเรียที่ดีเหล่านี้มีความจำเป็นต่อสุขภาพที่ดีของคุณ พวกมันรักธัญพืชเมล็ดเต็ม อาหารไม่ผ่านกระบวนการและเส้นใยธรรมชาติพวกเขาเกลียดเกลือ, สุรา, ยาปฏิชีวนะ, คลอรีนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารขยะเช่นเบอร์เกอร์, ธัญพืชขัดสีและกลูโคส (ซึ่งเป็นอาหารสำคัญสำหรับศัตรูของพวกเขา) 8 คุณจำเป็นต้องมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในระด้บที่สูงในลำไส้ของคุณ: มีแบคทีเรียถึง 800 สายพันธุ์ในลำไส้ของคุณ: ประมาณ 400 สายพันธุ์ได้รับการระบุและส่วนที่เหลือกำลังมีการทำการวิจัยกันอย่างหนักว่าดีต่อสุขภาพที่ดีของคุณหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันตั้งชื่อให้ผู้ช่วยเหลือเหล่านี้ว่า ''Microbiome' มีการศึกษาวิจัยมากกว่า 5,000 ชิ้นและกว่า 80 การทดลองทางคลินิกในแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและกำลังดำเนินงานต่อ ในความเป็นจริงแล้วแบคทีเรียทั้งหมดที่อยู่ในลำไส้ของคุณจำเป็นต่อสุขภาพของคุณมันขับเคลื่อนการสนองตอบต่อภูมิคุ้มกันของคุณ ตัดอาหารของคุณและปล่อยสิ่งดีๆของพวกเขา ปล่อยวิตามินและเอสเทอห่วงโซ่สั้นและแม้กระทั่งสารเคมีต้านมะเร็งอย่างsodium butyrate.. คุณเพียงแค่ให้อาหารที่ถูกต้อง เมื่อคุณใส่ยาแม้จะเป็นสมุนไพร ยาแผนปัจจุบันและยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรงก็สามารถทำลายพวกเขาได้ ร่างกายของคุณจะกลายเป็นกรดและมีสภาพแวดล้อมที่พวกเขาจะทำงานได้น้อยลง คุณสามารถคืนพวกเขาให้กับร่างกายคุณได้โดยการใช้โพรไบโอติกหลากหลายสายพันธุ์อย่างที่ผมพยายามโพสต์เมนู จุลชีพดี ๆ ในรายการ ครัวคุณไฝ แต่ถ้าคุณต้องการที่จะพยายามเพิ่มให้อยู่ในระดับสูง..อาหารขยะที่มีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ขัดขาว ขนมปัง)ไขมันอิ่มตัวและเกลือไม่ใช่พื้นที่ที่ควรอยู่ของจุลชีพดี ๆ อาหารพวกนี้เป็นของจุลชีพฝั่งเลวและยีสต์ในลำไส้ของคุณ - ศัตรูของฝั่งดี ในทางตรงกันข้ามทั้งอาหารที่ดีและใยอาหารช่วยให้พวกเขามีการเจริญเติบโตและเพิ่มขึ้นทวีคูณ งานวิจัยล่าสุดของอเมริกามีความชัดเจนว่า: ´Healthy microbiome, healthy you´จุลชีพฝั่งดีที่มีสุขภาพดี มันก็จะทำให้คุณสุขภาพดี 9 เรื่องเล่าที่แตกต่าง-จังหวะที่แตกต่าง: หลายงานวิจัยในอดีตบอกว่า น้ำตาลม,น้ำผึ้งมีประโยชน์แต่สำหรับ Cancer Watchมันคือ...ขยะ ข้อมูลสมัยใหม่: จาก Harvard, UCLA, MD Anderson, และอีกมากมายได้พบในการวิจัยและการทดลองทางคลินิกของพวกเขา และได้โต้แย้งสิ่งนี้และกล่าวว่า ! คนที่มีระดับน้ำตาลสูง อยู่รอดได้ต่ำ ...นั่นดีพอสำหรับเรารึ! เบอร์เกอร์ นม / ชาหวาน ขนมปังเหนียว ขนมกรุบกรอบ ย่าง ๆ ทอด ๆ !! มันก็แค่..อาหารขยะ องค์การอนามัยโลกกล่าวค่อนข้างชัดเจนว่าถึงร้อยละ 70 ของโรคมะเร็งทั้งหมดเกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีและสามารถที่จะป้องกันได้ หากคุณมะเร็งเต้านมในเต้านมด้านหนึ่งและกำลังกินยา ก็เป็นที่แน่นอนว่าส่วนหนึ่งที่คุณกำลังทำคือการพยายามที่จะป้องกันโรคมะเร็งนี้ไม่ให้ไปโผล่ที่อื่นใช่หรือไม่ ...การบริโภคนมปั่น, เบอร์เกอร์, ชาน้ำนม / หวาน ไอศครีม ช็อคโกแลต ขนมเค้กและอาหารขยะอื่นๆ ..มันไม่เท่ากับคุณกำลังเทน้ำมันบนบนกองไฟหรือ !!! นี้ไม่ได้เป็นอาหารสำหรับผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด นี่มันฆ่ากันชัด ๆ.. อาหารที่ดีควรที่จะป้องกันไม่ให้เกิด cachexia และช่วยต่อสู้กับโรคมะเร็ง ..ใช่หรือไม่ โรงพยาบาลใหญ่ๆหลายแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนี้ได้พูดคุยเกี่ยวกับการใช้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเต็มไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินและอาหารที่ควรเป็นอาหารของมนุษย์ อาหารที่แท้จริงของผู้ได้รับ เคมีบำบัด: 1. ทำความสะอาดตับของคุณ: ตับของคุณเต็มไปด้วยไขมัน เซลล์ที่ตายแล้วและทำงานหนักเกินไปจากยาและกรดแลคติก คอเลสเตอรอลห่อหุ้มเซลล์ที่ตายแล้วและก่อตัวคล้ายอนุภาคของเม็ดทราย ซึ่งจะทำให้เกิดการสกัดกั้นน้ำดี การปิดกั้นความสามารถของตับที่จะเอาขยะออกจากร่างกายของคุณและทำให้เกิดการค้างในระบบภูมิคุ้มกันของคุณทั้งหมด หนึ่งในจุดเริ่มต้นที่สามารถนำไปใช้ในการล้างตับ ก็สูตรน้ำปั่นที่ผมได้โพสต์ไปแล้วและอาจใช้น้ำมันมะกอกผสมกับดีเกลือเมื่อรวมกับน้ำผักปั่นมันจะช่วยขับสารพิษมาสู่ลำไส้โดยการขยายท่อน้ำดีได้มากขึ้น Milk Thistle หรือ ST Mary’s Thistle เพิ่งได้รับการแสดงให้เห็นในการทดลองทางคลินิกว่าลดผลข้างเคียงในผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัดและมันก็เป็นที่รู้จักกันในการเสริมสร้างตับ แมกนีเซียมเป็นสิ่งจำเป็นต่อตับเช่นกัน choline และ inositol (วิตามิน Bเช่นในเลซิติน) จะช่วยลดระดับไขมัน นอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มขมิ้นในอาหารบางอย่างหรือใช้ขมิ้นชันและดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยสองลิตรต่อวัน
2. เตรียมตัวของคุณก่อนให้คีโม:
ก) เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณ: ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยามักจะบอกผู้ป่วยของเขาว่าเขาไม่ต้องการให้ผู้ป่วยทานอาหารเสริมที่ต้านอนุมูลอิสระเพราะพวกมันอาจจะยุ่งเกี่ยวกับยาเคมีของพวกเขา”คีโมรุ่นเก่า” พ่นอนุมูลอิสระที่เซลล์มะเร็งและสารต้านอนุมูลอิสระที่พวกเขากลัวอาจหยุดสิ่งนี้ สำหรับผมสารต้านอนุมูลอิสระ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการสังเคราะห์ที่มีขายกันอยู่ทั่วไป) ไม่ได้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ในงานวิจัยของสหรัฐ (การศึกษาที่สำคัญๆ)สารเบต้ากลูแคน สารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สมุนไพรเช่นขมิ้นชัน / ขมิ้น วิตามินอีธรรมชาติและสาหร่ายธรรมชาติ (ที่มีเบต้าแคโรทีนสมบูรณ์ B-12 เป็นต้น) มีสารบำรุงที่คุณต้องการมากมาย
ข) ตัดโซเดียมจากอาหารของคุณ เพิ่มโพแทสเซียมและแมกนีเซียม:โซเดียมในเซลล์ของคุณจะแทนที่โพแทสเซียมในสถานีพลังงานของเซลล์ของคุณทำให้พวกเขาเป็นพิษมากขึ้นและเป็นกรดมากขึ้น มะเร็งเจริญเติบโตในร่างกายที่เป็นกรด ตัดอาหารโซเดียมเช่น เกลือ ซอสถั่วเหลือง น้ำเกรวี่, แฮม, เนื้อสุก ไส้กรอกขนมปัง อาหารเช้าซีเรียล, เบคอน, อาหารแปรรูป, อาหารบรรจุเสร็จและอาหารจีน กินอาหารโพแทสเซียมสูงและอาหารแมกนีเซียม เช่นถั่วสด มันฝรั่ง, ธัญพืช, ผักใบเขียว, แครอท,ข้าวกล้อง, ถั่วและนมข้าวก็เป็นที่ยอมรับได้ ตัดออกทั้งการสูบบุหรี่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, กาแฟ, ไขมัน, น้ำตาล, เกลือนมสัตว์, ช็อคโกแลต, คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ขนมปังขาว,แป้งขัดขาว, พาสต้า ,ข้าวขาว การวิจัยแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกัน ที่ทานอาหารแล้วทำให้ร่างกายเป็นด่างนั้น ร่างกายจะหยุดการแพร่กระจายใหม่และนักวิจัยบางท่าน (กำลังดำเนินการทดลองทางคลินิก) ในการใช้โซเดียมไบคาร์บอเนตเป็นเป็นส่วนผสมในน้ำดื่ม
 ค) เพิ่มระดับไขมันที่ดีของคุณ: เป็นที่รู้กันมาตั้งแต่ปี 1982 และ Sir John Vane เจ้าของรางวัลโนเบลที่เขียนเกี่ยวกับผลประโยชน์ในเชิงบวกของโอเมก้า 3 ในการบวนการเกิดโรคมะเร็ง น้ำมันปลาก่อให้เกิดห่วงโซ่สายยาวซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์ ส่วนห่วงโซ่สายสั้นของโอเมก้า 3 สามารถพบได้ใน flaxseed ในการบำบัดผู้ป่วยของ Dr Joanna Budwig เธอใช้มันเพื่อที่จะปรับปรุงระดับออกซิเจนในเซลล์; และ flaxseed ก็ยังช่วยลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกด้วย น้ำมันมะกอกสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมีประโยชน์ที่สำคัญในลำไส้และสามารถแทนที่ไขมันไม่ดีในร่างกาย การรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงสามารถลดระดับของการไหลเวียนของไขมันที่ไม่ดีในร่างกาย สารสีแดงอย่างเช่นมะเขือเทศ (ไลโคปีน)ก็ควรจะอยู่ในเมนูอาหารทุกวัน รวมถึงการไม่กินไขมันทรานส์และลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว เป็นเรื่องดี ๆ ที่ควรทำ
ง) เอสโตรเจน: มันไม่ได้มีเพียงแค่มะเร็งเต้านมที่ถูกขับเคลื่อนโดยเอสโตรเจน มีหลักฐานทางการวิจัยที่ชัดเจนว่า มดลูก รังไข่ เนื้องอกในลำไส้ เนื้องอกในสมองและมะเร็งต่อมลูกหมากจะถูกขับเคลื่อนด้วยฮอร์โมนเพศหญิงตัวนี้เช่นกัน ถ้ามะเร็งของคุณมีการเชื่อมโยงกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง คุณควรหลีกเลี่ยงยาและอาหารที่มีเอสโตรเจน ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันๆทอดๆ - กินอาหารห้าหรือหกมื้อเล็กๆในหนึ่งวัน อาหารที่อุดมไปด้วยแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตกระตุ้นการผลิตอินซูลินและเพิ่มการผลิตเอสโตรเจน การมีน้ำหนักมากเกินไปจะหมายถึงการเก็บไขมันมากขึ้นและไขมันเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเอสโตรเจน เอสโตรเจนลอกเลียนแบบ (xenoestrogens): ก็ควรจะถูกตัดออกไป ในรายงานปี 2013 ขององค์การอนามัยโลกในเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องตัดเอสโตรเจนลอกเลียนแบบจากสารเคมีในสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน เนื่องจากมันบุกรุกเข้าสู่ร่างกายของเราในรูปแบบของผลิตภัณฑ์น้ำหอม น้ำยาล้างเล็บ (โทลูอีน), เครื่องสำอางค์และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในห้องน้ำและผ่านก๊าซคาร์บอนอินทรีย์ระเหยจากกาว, สีย้อม,น้ำยาซักแห้ง, สารฟอกขาวและสารฆ่าเชื้อ; และสารเอสโตรเจนลอกเลียนแบบ จะเกิดขึ้นจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช จากกระป๋องสีขาว (BPA) และบรรจุภัณฑ์พลาสติก (BPA และ phthalates) และสารกันบูดบางชนิด (อาทิเช่น พาราเบน parabens) ใคร่ครวญเรื่องการปลอดสารพิษที่บ้านของคุณจากผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ กินยาฆ่าแมลงให้น้อยลง กินผักให้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกะหล่ำปลีและและบร๊อกโคลี่ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ซีลีเนียมและ indole 3 carbinol สามารถป้องกันการกระทำของสิ่งเหล่านี้ได้ นอนหลับในห้องที่มืดสนิทจะเพิ่มการผลิตเมลาโทนิของคุณ (มันทำให้ทั้ง IGF-1 และเอสโตรเจนสมดุล):
จ) ผลการวิจัยล่าสุดของ Cancer Watch บทความที่เกี่ยวกับแบคทีเรียที่มีประโยชน์จะลดยีสต์ส่วนเกินในร่างกายของคุณ การตากแดดเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน D เป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง 3. กินเพื่อเอาชนะโรคมะเร็ง: ในหนังสือของ Chris Woollams ได้กล่าวถึงอาหารสีรุ้งและวิธีที่มันจะช่วยให้คุณสามารถเอาชนะโรคมะเร็ง เขาบอกถึงสิ่งที่อาหารเป็นตัวป้องกันและแก้ไขโดยมีงานวิจัยอ้างอิง ความจริงของเม็ดสีในอาหารหลายชนิดก็คือมันเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งที่แข็งแกร่ง ในหนึ่งสัปดาห์ คุณควรกินอาหารสีรุ้ง: ดังนั้นอาหารพื้นฐานของคุณหมุนเวียนไปตามเม็ดสีของอาหารเช่น กระเทียมสด,กระเทียมต้น, หัวหอม, ต้นหอม, หัวไชเท้า – ตัวอย่างเช่น กระเทียมเป็นที่รู้จักกันดีว่าจะมีจำนวนของสารต้านมะเร็งอยู่หลายชนิดและเชื่อว่าจะช่วยหยุดการแพร่กระจายของโรคมะเร็งและการสร้างหลอดเลือดใหม่เพื่อไปหล่อเลี้ยงเนื้องอก ถั่วต่าง ๆ ยกเว้นถั่วเหลืองปกป้องเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแพร่กระจายของมะเร็ง ไกลโคโปรตีนและโพลี่แซคคาไรด์ – ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึงสี่ครั้งในรอบหลายปีและได้รับรางวัลชนะเลิศสำหรับการค้นพบสารธรรมชาติเหล่านี้ที่ช่วยให้เซลล์สื่อสารกันและดีสำหรับระบบภูมิคุ้มกันของคุณที่จะเห็นเพื่อนและศัตรู อาหารเหล่านั้นรวมถึงว่านหางจระเข้,เอคินาเชีย(Echinacea) ขมิ้น, pectins (ใน ถั่วลิสง มะนาว แครอท ฟักทอง กระเทียม มัน ถั่วเขียว หัวหอม มะเขือเทศ แตงกวา และพริกเขียว) arabinogalactans (เช่นใน มะเขือเทศ, แครอท, ข้าวกล้อง) แม้แต่ในไวน์แดงและนมแม่ก็มีมีปัจจัยป้องกันที่สำคัญเหล่านี้ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการส่งข้อความที่ดีขึ้นระหว่างเซลล์ การศึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่มีคือ การศึกษา beta-glucan polysaccharides ซึ่งเป็นสารเบต้ากลูแคน ที่ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด อาหารสีแดงเข้มอย่าง - บีทรูท, พลัม,เบอร์รี่ทั้งไทยและเทศ ฯลฯ ที่ให้ anthocyanins ซึ่งรู้จักกันว่าฆ่าเซลล์มะเร็ง และ / หรือโพลีฟีนอลเช่น resveratrol และ quercitin ซึ่งทั้งสองมีผลต้านมะเร็งเช่นกัน สีสดใส – ตัวอย่างเช่น พริกแดงและเหลืองลูกพีช แอปริคอต แครอท มะเขือเทศ เป็นต้น เป็นที่รู้จักกันดีว่าแคโรทีนอยด์สกัดกั้นการเกิดโรคมะเร็งอาทิ มะเร็งเต้านม สีเขียว – ผมไม่พูดถึงเพราะโพสต์ถึงความดีงามไปเยอะแล้วครับ เมล็ดแตกหน่อ -มี sulphoraphanes ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งที่แข็งแกร่ง ถั่วและเมล็ดพืชเต็มไปด้วยวิตามินบีอย่างกรดโฟลิกและไบโอติน เพื่อช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์และเพิ่มออกซิเจนรวมถึงขับสารพิษ อาหารที่มีรสขม -อย่าง แพงพวย,กูซเบอรี่, แครนเบอร์รี่, แบล็กสตรอเบอร์รี่หรืออัลมอนด์ ,เม็ดมะม่วงหิมพานต์, ข้าวฟ่าง, บัควีทและเมล็ดแอปริคอททั้งหมดนี้มีเส้นใยและความหลากหลายของสารธรรมชาติ (รวมถึง B-17 ซึ่ง Dr Contreras at the Oasis of Hope เรียกมันว่า 'nature's chemotherapy') เพิ่มเติม- ชาเขียว,น้ำมันมะกอก, ยี่หร่า, ออริกาโน, ขมิ้น / ขมิ้นชันเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของคุณและฆ่ายีสต์ กินข้าวกล้องและหัวหอม มีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของ quercitin กับการต้านโรคมะเร็ง มีงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นถึงความสามารถของสารเบต้ากลูแคนที่จะตัดเอสโตรเจนและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเมื่อเราได้สารอาหารที่เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันมะเร็งก็ฝ่อไปเองได้เช่นกัน 4. อาหารเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอ! มะเร็งของคุณคือความเป็นตัวคุณ ดังนั้นการรักษาของคุณจะต้องมีการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อคุณและมะเร็งของคุณ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของโรคมะเร็งทั้งหมดเกิดจากการดำเนินชีวิตที่ไม่ดี โรคมะเร็งอื่น ๆ อาจจะเกิดจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมหรือปรสิต !!!มะเร็งต้องใช้เวลาถึงหกปีหรือมากกว่านั้นในการพัฒนาเซลล์มะเร็ง!!!! ดังนั้น!!!โปรดเข้าใจว่า การพยายามหาสาเหตุที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณสามารถใช้ยากวาดล้างพยาธิและคุณสามารถกินอาหารที่จะช่วยล้างสารเคมีอันตรายจากร่างกายของคุณ แต่ห้ามคาดหวัง'การรักษา'ว่ามันจะหายไปในหกสัปดาห์ คุณจะต้องไม่สร้างความเสียหายและซ่อมแซมทั้งชีวิตของคุณ ชีวิตใหม่ของคุณเป็นสิ่งที่คุณรออยู่..มิใช่หรือ!? รักษาน้ำหนักในอุดมคติ: การมีน้ำหนักเกินเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งร้อยละ 40 ถึง 60 ขึ้นอยู่กับงานศึกษาวิจัยที่คุณอ่าน การสูบบุหรี่เพิ่ม "ความเสี่ยง" เพียงร้อยละ 25 หากคุณมีน้ำหนักเกินคุณก็ควรที่จะพยายามทำให้น้ำหนักลงมาอยู่ที่ปกติ ขณะที่การวิจัยชี้อย่างชัดเจนว่าคนอ้วนที่มีโรคมะเร็งอยู่รอดน้อยกว่า Northwestern University Medical School in the USA พบว่ามันไม่เคยสายเกินไปที่จะเริ่มต้นการควบคุมน้ำหนัก คนที่เป็นมะเร็งและตั้งใจควบคุมน้ำหนักเพิ่มอัตราการอยู่รอดได้ดีขึ้น การออกกำลังกาย: คุณควรออกกำลังกายอย่างน้อยแม้จะเป็นเพียงในรูปแบบของการฝึกโยคะ มันจะช่วยเคลื่อนย้ายน้ำเหลืองของคุณ จะพาสารพิษออกจากเซลล์ของคุณ; มันจะเพิ่มออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดของคุณโดยการทำให้คุณหายใจได้ดีขึ้นและจะลดระดับของสารพิษในร่างกายและปรับสมดุลฮอร์โมน แต่อย่างไรก็ตามเรามักจะเข้าใจว่าสำหรับบางคนที่ได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดนี้มันเป็นไปไม่ได้ ความจริงง่ายๆก็คือ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายเบา ๆ ในชีวิตประจำวันระยะเวลาประมาณ 30 นาทีช่วยเพิ่มอัตราการรอดตายสูงขึ้นถึงร้อยละ 50 !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! นี่คือความจริง !!!! อาหารสีรุ้งที่มีเส้นใยธรรมชาติสูงคือคำตอบ ไขมันที่ดี; ปลอดน้ำตาลปลอดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ก็อย่างที่นักวิจัยใน NCI กล่าวว่า:คุณสามารถกินอาหารหรือกินส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพเป็นอาหารเสริม !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! ความชัดเจน:เราไม่เชื่อว่ายาใด ๆ เป็นตัวรักษาโรคมะเร็ง... ในตอนท้ายของวันนั้นๆ.. มันเป็นหน้าที่ของร่างกายของคุณที่จะเตะมันออกไป... ติดอาวุธให้ร่างกายของคุณ.... อย่าทำให้ร่างกายอ่อนแอ..แล้วร่างกายของคุณก็คือ ...หมอที่ดีที่สุดในโลก !!! ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณ ภาพสวย ๆ จาก Google บทความและหนังสือดี ๆ ของ Chris Woollams งานวิจัยดี ๆ หนังสือดี ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น