ฮาย ..ทองแดงเพนิ
มาแล้วครับ สำหรับ บทความของ อาจารย์ #สุชาติ ที่มีใครหลายคนเฝ้ารอ ...
ผมมิบังอาจจะแก้ไขสิ่งที่ท่านเขียนไว้...แต่อ่านแล้วมีความสุขครับ !!!
ตามมา...
บันทึกความทรงจำที่แสนประทับใจในตัวอาจารย์หมอใฝ ของข้าพเจ้านายสุชาติ คงวรรณ์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ การศึกษาปริญญาตรีสาธารณสุขศาสตร์ ปริญญาโทชีววิทยาและเคมี ปัจจุบันรับราชการปฏิบัติงานประจำห้องตรวจเลือด โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มจาก วันที่ 27 พ.ย 2557
ผมเริ่มป่วยด้วยอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มึนศรีษะ ตาลายจนบ้านหมุน นอนไม่หลับ ปวดแปล็บๆตามปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า วันที่ป่วยผมน้ำหนักตัวเท่ากับ 65 กิโลกรัม เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐ นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐ 2 คืน แพทย์วินิจฉัยผมป่วยจากภาวะเครียดให้ยานอนหลับ(ลอราซีแฟม และคลอนาซีแฟม )และยาแก้คลื่นไส้ (ดอมเพอริดอลกับไดเมน) เมื่อแพทย์ให้กลับบ้านก็ได้ให้ยาดังกล่าวไปกินที่บ้าน 14 วัน
ผมกินยาหมดแต่อาการที่ป่วยไม่ดีขึ้น เดือนมกราคม 2558 จึงตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางระบบ ทางเดินอาหาร แพทย์ได้ทำการส่องกล้องเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร และแพทย์บอกผมเป็นโรคกระเพาะอาหารและมีอาการกรดไหลย้อน ได้ให้ยาลดกรด (โอมีพราโซน กราวิทกอล อะลัมมิ้ว) มากินเป็นเวลา 1 เดือน กินยาครบตามกำหนดอาการทุเลาลงบ้างแต่ยังมีอาการปวดท้องเป็นๆหาย
มีนาคม 2558 ผมเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐที่เดิมพบแพทย์เฉพาะทางสาขา หู คอ จมูก แพทย์บอก ไม่พบความผิดปกติในช่องหู จมูก(ผมเป็นภูมิแพ้กินยาแก้แพ้ (คลอเฟนิรามิน)ตั้งแต่ปี 2526 มาเลิกกินเมื่อ สิงหาคม 2558 รวมเวลาที่ผมกินยาแก้แพ้ 32 ปี) แพทย์ก็จ่ายยาแก้มึนศีรษะ คลื่นไส้ (ไดเมน กับดอมเพอริดอล) มากิน 1 เดือน พฤษภาคม 2558 ผมไปตรวจที่คลินิกพบแพทย์เฉพาะทางโรคต่อมไร้ท่อ เจาะเลือดตรวจฮอร์โมนไทรอกซิน (เพื่อหาสาเหตุว่าผมมีภาวะขาดฮอร์โมนไทรอกซินหรือไม่)เพราะถ้าฮอร์โมนชนิด นี้ต่ำหรือสูงกว่าเกณฑ์ปกติก็จะทำให้เป็นโรคคอพอก(ชื่อโรคตามที่ชาวบ้านทั่ว ไปเรียกกัน) ผลการตรวจปกติ เสียค่าเจาะเลือด 540 บาท เบิกไม่ได้ครับ เป็นครั้งแรกที่ต้องจ่ายเงิน
เดือนกรกฏาคม 2558 ผม เจาะเลือดตัวเองมาตรวจดูการทำงานของตับ ไต ระดับไขมัน กรดยูริก สารเกลือแร่ ความสมบูรณ์ของเลือด พบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาว5400 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (คนปกติมีจำนวน 5000-10000 เซลล์) แต่เพราะผมเป็นภูมิแพ้จำนวนเม็ดเลือดขาวจึงต่ำ ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำกว่าคนปกติ ค่าการทำงานของตับปกติ ค่าการทำงานของไต(ค่าeGFR)ในการกรองและขับถ่ายของเสียเท่ากับ 74 (ค่า eGFR ) ซึ่งค่า eGFR เป็นค่าที่บอกว่าไตของเราเสื่อมสภาพหรือยังคงทำงานเป็นปกติ ) ตามปกติค่านี้หากเกิน 90 หรือมากกว่าแสดงว่าไตยังคงทำงานได้ดี ยิ่งค่านี้สูงเท่าไรหมายถึงไตมีประสิทธิภาพในการทำงานดีมากครับ แต่หากค่า eGFR ต่ำกว่า 60 แสดงว่าไตเริ่มเสื่อมหรือเริ่มทำงานบกพร่อง ซึ่งพบบ่อยในคนไข้เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ และหากค่า eGFR ต่ำกว่า 30 แสดงว่าไตเสียหายเยอะยากแก่การซ่อมแซมแล้วครับ ต้องได้รับการล้างฟอกไต และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากภาวะไตวายครับ
เดือนกรกฏาคม ผมเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก อีกครั้งด้วยอาการเดิม คือ เวียนหัว ตาลาย ท้องอืด ปวดท้อง แพทย์ส่งตรวจ AMI ซึ่งเป็นการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ใช้เวลาตรวจ 45 นาที เป็นการตรวจที่แสนจะทรมานเพราะผมต้องนอนอยู่ในเครื่องตรวจที่มีสายรัดข้อมือ ข้อเท้า ลำตัว คอ ศีรษะ นอนหงายเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ผมต้องอดทนเพราะอยากทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไรกันแน่ผมเกรงว่าอาจเป็น มะเร็งในสมอง ซึ่งการตรวจคลื่นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กกว่าจะทราบผลใช้เวลา 1 สัปดาห์หลังจากการตรวจ ผลการตรวจสมองเป็นปกติ เสียค่าตรวจ 12,000 บาท เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมต้องจ่ายเงิน เบิกคืนไม่ได้ครับ
เดือนสิงหาคม 2558 ผมเข้ารับการตรวจที่คลินิกเอกชนตรวจด้วยหัวใจเพราะผมเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก แพทย์ส่งตัวไปโรงพยาบาลของรัฐซึ่งมีเครื่องมือในการตรวจที่มีประสิทธิภาพโดย พบแพทย์เฉพาะทางสาขาโรคหัวใจ ผมวิ่งสายพานทดสอบการทำงานของหัวใจได้ 30 นาทีแพทย์บอกหัวใจทำงานเป็นปกติ ผมค่อยหายใจโล่งทั้งๆที่เหนื่อยแทบแย่กับการวิ่งบนลู่ซึ่งมีความฝืดเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่แพทย์ให้ผมวิ่ง คราวนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพราะทำจ่ายตรงไว้
เมื่อหาสาเหตุของโรคไม่เจอผมก็ต้องเบิกยาจากโรงพยาบาลมากินไปก่อน เช่น ยาลดกรด ยาแก้อาการมึนศีรษะ ตาลาย คลื่นไส้ และกลับไปโรงพยาบาลของรัฐอีกแห่งหนึ่งพบแพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวินิจฉัย ส่งตัวผมตรวจเอกเรย์ช่องท้องด้วยวิธี CT Scan ซึ่งเป็นการตรวจช่องท้องด้วยรังสี คราวนี้มีการฉีดสารเคมีซึ่งมีสีแดง เพื่อให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในช่องท้องได้ชัดเจน และแพทย์ได้ฉีดยาแก้แพ้ (เดกซามาธาโซน ซึ่งเป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ อันตรายครับถ้าใช้พร่ำเพรือ) เข้าเครื่องตรวจราว 10 นาที ผลการตรวจอวัยวะในช่องท้องเช่น ม้าม ตับ ไต สำไล้ ยังปกติ คราวนี้จ่ายเงินไปก่อน 15,500 บาท เพราะไม่ได้ทำจ่ายตรงไว้แต่เบิกคืนได้ในภายหลัง
!!! ตรวจทุกอย่างก็ไม่พบความผิดปกติแต่อาการที่เป็นอยู่ไม่มีท่าทีว่าจะหาย
8 กันยายน 2558 ผมพบหมอไฝ จากการแนะนำของเพื่อนผ่านทางเฟสบุ้ค ผมบอกอาการที่ผมเป็นให้หมอไฝทราบ หมอไฝก็บอกให้ผมหยุดสาเหตุที่ทำให้ผมป่วยเป็นอันดับแรก คือ ไม่กิน หวาน มัน นม ผลไม้ ขนมปังที่มีส่วนผสมของยีสต์ ครีมเทียม เห็ด จากนั้นผมก็ได้กินอาหารเสริมเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนโดยกินอาหารเสริมทำจาก กล้วยดิบและสารสกัดจากผลไม้หลายตัว กินก่อนนอน 2 แคปซูลระยะเวลากิน 48 วัน หลังจากครบ 48 วันผมรู้สึกได้ว่าอาการปวดท้อง ท้องอืดค่อยๆหายไปครับ แต่ผมยังคงกินอาหารเสริมมาจนทุกวันเพราะเป็นอาหารเสริมนิครับ
15 กันยายน 2558 ผมไปตรวจอาการนอนไม่หลับที่โรงพยาบาลของรัฐพบแพทย์เฉพาะทางสาขาจิตแพทย์ ได้ยานอนหลับมากินเพรียบ (เล็กซาโปร คลอนาซีแปม แอลพลาโซแลม ฮาโลเปอริดอล ) แพทย์ให้กินครั้งแรก 1 เดือน เมื่อหมดยาผมก็ไปรับยาเพิ่มแพทย์ก็ให้กินยาเดิมเหล่านี้ต่ออีก 1 เดือน ซึ่งยาประเภทนี้หากกินไปนานๆคนไข้จะติดยา และต้องเพิ่มปริมาณยา ผมซึ่งจบมาทางด้านนี้ไม่ต้องการกินยาเหล่านี้เป็นเวลานานจึงปรึกษาหมอไฝ เมื่อ
12 กุมภาพันธ์ 2559 หมอไฝบอกว่าจะให้ผมเลิกกินยาเหล่านี้ทั้งหมดให้ได้ และเปลี่ยนมากินอาหารเสริม( แคลเซียมแม็กนีเซียมอะมิโนแดซิดคีเลตและเอนไซม์) เอนไซม์กินครั้งละ 2 ช้อนตอนตื่นนอนและก่อนนอน ส่วนแคลเซียมแม็กนีเซียมอะมิโนแดซิดคีเลตกิน 4 เม็ดก่อนนอน นอกจากนี้หมอไฝก็ได้แนะนำให้ผมกินกระเทียมหัวใหญ่วันละ 9 กลีบ แบ่งกินพร้อมมื้ออาหาร เช้า เที่ยง เย็น มื้อละ 3 กลีบใหญ่ และมะเขือเทศลูกใหญ่วันละ 5 ลูกแบ่งกินตามใจชอบ
เหตุที่กินเพราะหมอไฝบอกผมมีภาวะหลอดเลือดอักเสบ โดยหมอไฝดูจากค่าความดันและค่าไขมัน(ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด) และแนะนำให้ผมตากแดดเพิ่มโดยตากแดดก่อน 10 โมงเช้าหรือหลัง 5 โมงเย็นเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีเพราะผมมีภาวะขาดวิตามินดีครับ ซึ่งผมก็ปฏิบัติมาจนทุกวันนี้
15 กุมภาพันธ์ 2559 ผมเริ่มลดปริมาณการกินยาจิตเวชทุกชนิดเพราะสังเกตุพบว่าร่างกายเริ่มนอนหลับ ได้เพิ่มขึ้น (ยาในกลุ่มยาจิตเวชจะเลิกทันทีไม่ได้เพราะจะทำให้ร่างกายขาดยา ซึ่งในบางคนจะทำให้มีอาการของโรคเป็นรุนแรงขึ้น) เพราะฉะนั้นยาในกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะต้องค่อยๆลดปริมาณยาลง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน คือยาเม็ดหนึ่งเราก็แบ่งเป็นสี่ส่วน ช่วงเดือนแรกก็กิน 3 ส่วน เดือนที่ 2 ลดมากิน 2 ส่วน เดือนที่ 3 ก็กิน 1 ส่วน เดือนที่ 4 หยุดกินครับ แล้วร่างกายเราโดยเฉพาะสมองจะสามารถปรับตัวได้เองครับจะไม่ทำให้ร่างกาย รู้สึกว่าขาดยาครับ
16 กุมภาพันธ์ 2559 ผมกินอาหารเสริม ถั่วสกัดกับเบตากลูแคน เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายจากภาวะภูมิแพ้ ถั่วสกัดกินก่อนอาหารเช้าและเที่ยงครั้งละ 2 แคบซูล ส่วนเบตากลูแคนกิน 2 แคบซูลก่อน
นอน 10 มีนาคม 2559 ผมเลิกกินยาแก้แพ้โดยเด็ดขาด เพราะร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นแล้วจากการกินเบตากลูแคน (เบตากลูแคนช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นได้รวดเร็ว ป้องกันมะเร็งได้ด้วย) ซึ่งตามปกติคนเรามีเม็ดเลือดขาวประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ ในคนที่เป็นภูมิแพ้จะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติครับ ซึ่งเม็ดเลือดขาวของผมก่อนกินเบตากลูแคนจะมีประมาณ 5,400 เซลล์ ผมเจาะเลือดตรวจครั้งล่าสุด 25 พฤษภาคม 2559 พบว่าเม็ดเลือดขาวมีจำนวนเท่ากับ 9,800 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
ผมตรวจด้วยตนเองเพราะทำงานทางด้านนี้อยู่แล้วครับ นอกจากเลิกกินยาแก้แพ้แล้วผมกินน้ำปั่นล้างพิษสูตรหมอไฝ คือ น้ำปั่นบีทรู๊ท ประกอบด้วย บีทรู๊ท มะเขือเทศ มะนาว เซลารี แครอท น้ำมาผสมอย่างละพอประมาณกินหมดในแต่ละมื้อ (สูตรไม่ตายตัวครับ) และก็กินน้ำมะนาวเมื่อตื่นนอน 1 แก้ว ทุกเช้า (มะนาว 1 ลูกผสมน้ำเปล่าให้ได้ 1 แก้ว) แต่คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อนไม่ควรกินน้ำมะนาวครับ ต้องรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือกรดไหลย้อนให้หายก่อนครับ สาเหตุที่หมอไฝแนะนำให้กินน้ำมะนาวก็เพื่อปรับภาวะร่างกายเราไม่ให้เป็นกรด น้ำมะนาวเมื่อผ่านกระบวนการย่อยจะกลายเป็นด่างครับ และเมื่อร่างกายเป็นด่าง ร่างกายก็สามารถป้องกันตนเองไม่ได้เชื้อโรครุกรานได้ครับ ออ ผมกินโยเกิตร์ด้วยวันละ 1 ช้อนโต๊ะ สาเหตุที่กินโยเกิตร์ก็เพื่อใช้เป็นอาหารให้กับแบคทีเรียในลำไส้ เนื่องจากในลำไส้ของคนเรามีแบคทีเรีย 2 ชนิด คือทั้งฝ่ายดีและไม่ดี เรากินโยเกิร์ตเพื่อให้แบคทีเรียฝ่ายดีได้เจริญเติบโตและย่อยสารอาหารในลำ ไส้ครับ จากการปฏิบัติตัวของผมตามที่กล่าวมา
วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 เป็นอีกวันที่ผมมีความสุขใจเมื่อผมตรวจเลือดตัวผมเองแล้วพบว่าค่า eGFR ที่เคยต่ำลงไปอยู่ที่ 74 ในช่วงที่ผมกินยาจากทางโรงพยาบาล วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ค่า eGFR ของผมเพิ่มขึ้นเท่ากับ 98 และผมคาดว่าค่านี้จะค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นอีกแน่นอนจากการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำ ของหมอไฝโดยเคร่งครัด ส่วนค่าไขมัน การทำงานของตับก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ ผมจึงอยากจะบอกทุกคนว่า ...
ร่างกายของคนเราหากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ โรคต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำอะไรตัวเราได้หรอกครับ ที่สำคัญเราจะต้องไม่กินอาหารที่เป็นขยะเข้าไปในร่างกาย (อาหารจำพวก ผลไม้ หวาน มัน นม เนย ครีมเทียม เห็ด ขนมปังที่ทำจากยีสต์ ) งดสิ่งเหล่านี้ได้ชีวิตก็ปราศจากโรคแล้วครับ และทำให้ร่างกายมีสภาพที่เป็นด่าง ตามที่ผมบอกกล่าวข้างต้นครับ แล้วโรคก็จะไม่เกิดกับตัวเราครับ
โชคดีทุกคนนะครับ
มาแล้วครับ สำหรับ บทความของ อาจารย์ #สุชาติ ที่มีใครหลายคนเฝ้ารอ ...
ผมมิบังอาจจะแก้ไขสิ่งที่ท่านเขียนไว้...แต่อ่านแล้วมีความสุขครับ !!!
ตามมา...
บันทึกความทรงจำที่แสนประทับใจในตัวอาจารย์หมอใฝ ของข้าพเจ้านายสุชาติ คงวรรณ์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ การศึกษาปริญญาตรีสาธารณสุขศาสตร์ ปริญญาโทชีววิทยาและเคมี ปัจจุบันรับราชการปฏิบัติงานประจำห้องตรวจเลือด โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มจาก วันที่ 27 พ.ย 2557
ผมเริ่มป่วยด้วยอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มึนศรีษะ ตาลายจนบ้านหมุน นอนไม่หลับ ปวดแปล็บๆตามปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า วันที่ป่วยผมน้ำหนักตัวเท่ากับ 65 กิโลกรัม เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐ นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลของรัฐ 2 คืน แพทย์วินิจฉัยผมป่วยจากภาวะเครียดให้ยานอนหลับ(ลอราซีแฟม และคลอนาซีแฟม )และยาแก้คลื่นไส้ (ดอมเพอริดอลกับไดเมน) เมื่อแพทย์ให้กลับบ้านก็ได้ให้ยาดังกล่าวไปกินที่บ้าน 14 วัน
ผมกินยาหมดแต่อาการที่ป่วยไม่ดีขึ้น เดือนมกราคม 2558 จึงตัดสินใจไปตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางระบบ ทางเดินอาหาร แพทย์ได้ทำการส่องกล้องเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร และแพทย์บอกผมเป็นโรคกระเพาะอาหารและมีอาการกรดไหลย้อน ได้ให้ยาลดกรด (โอมีพราโซน กราวิทกอล อะลัมมิ้ว) มากินเป็นเวลา 1 เดือน กินยาครบตามกำหนดอาการทุเลาลงบ้างแต่ยังมีอาการปวดท้องเป็นๆหาย
มีนาคม 2558 ผมเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐที่เดิมพบแพทย์เฉพาะทางสาขา หู คอ จมูก แพทย์บอก ไม่พบความผิดปกติในช่องหู จมูก(ผมเป็นภูมิแพ้กินยาแก้แพ้ (คลอเฟนิรามิน)ตั้งแต่ปี 2526 มาเลิกกินเมื่อ สิงหาคม 2558 รวมเวลาที่ผมกินยาแก้แพ้ 32 ปี) แพทย์ก็จ่ายยาแก้มึนศีรษะ คลื่นไส้ (ไดเมน กับดอมเพอริดอล) มากิน 1 เดือน พฤษภาคม 2558 ผมไปตรวจที่คลินิกพบแพทย์เฉพาะทางโรคต่อมไร้ท่อ เจาะเลือดตรวจฮอร์โมนไทรอกซิน (เพื่อหาสาเหตุว่าผมมีภาวะขาดฮอร์โมนไทรอกซินหรือไม่)เพราะถ้าฮอร์โมนชนิด นี้ต่ำหรือสูงกว่าเกณฑ์ปกติก็จะทำให้เป็นโรคคอพอก(ชื่อโรคตามที่ชาวบ้านทั่ว ไปเรียกกัน) ผลการตรวจปกติ เสียค่าเจาะเลือด 540 บาท เบิกไม่ได้ครับ เป็นครั้งแรกที่ต้องจ่ายเงิน
เดือนกรกฏาคม 2558 ผม เจาะเลือดตัวเองมาตรวจดูการทำงานของตับ ไต ระดับไขมัน กรดยูริก สารเกลือแร่ ความสมบูรณ์ของเลือด พบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาว5400 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (คนปกติมีจำนวน 5000-10000 เซลล์) แต่เพราะผมเป็นภูมิแพ้จำนวนเม็ดเลือดขาวจึงต่ำ ส่งผลให้ภูมิต้านทานของร่างกายต่ำกว่าคนปกติ ค่าการทำงานของตับปกติ ค่าการทำงานของไต(ค่าeGFR)ในการกรองและขับถ่ายของเสียเท่ากับ 74 (ค่า eGFR ) ซึ่งค่า eGFR เป็นค่าที่บอกว่าไตของเราเสื่อมสภาพหรือยังคงทำงานเป็นปกติ ) ตามปกติค่านี้หากเกิน 90 หรือมากกว่าแสดงว่าไตยังคงทำงานได้ดี ยิ่งค่านี้สูงเท่าไรหมายถึงไตมีประสิทธิภาพในการทำงานดีมากครับ แต่หากค่า eGFR ต่ำกว่า 60 แสดงว่าไตเริ่มเสื่อมหรือเริ่มทำงานบกพร่อง ซึ่งพบบ่อยในคนไข้เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ และหากค่า eGFR ต่ำกว่า 30 แสดงว่าไตเสียหายเยอะยากแก่การซ่อมแซมแล้วครับ ต้องได้รับการล้างฟอกไต และผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากภาวะไตวายครับ
เดือนกรกฏาคม ผมเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนพบแพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก อีกครั้งด้วยอาการเดิม คือ เวียนหัว ตาลาย ท้องอืด ปวดท้อง แพทย์ส่งตรวจ AMI ซึ่งเป็นการตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ใช้เวลาตรวจ 45 นาที เป็นการตรวจที่แสนจะทรมานเพราะผมต้องนอนอยู่ในเครื่องตรวจที่มีสายรัดข้อมือ ข้อเท้า ลำตัว คอ ศีรษะ นอนหงายเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ผมต้องอดทนเพราะอยากทราบว่าตนเองเป็นโรคอะไรกันแน่ผมเกรงว่าอาจเป็น มะเร็งในสมอง ซึ่งการตรวจคลื่นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กกว่าจะทราบผลใช้เวลา 1 สัปดาห์หลังจากการตรวจ ผลการตรวจสมองเป็นปกติ เสียค่าตรวจ 12,000 บาท เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมต้องจ่ายเงิน เบิกคืนไม่ได้ครับ
เดือนสิงหาคม 2558 ผมเข้ารับการตรวจที่คลินิกเอกชนตรวจด้วยหัวใจเพราะผมเหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก แพทย์ส่งตัวไปโรงพยาบาลของรัฐซึ่งมีเครื่องมือในการตรวจที่มีประสิทธิภาพโดย พบแพทย์เฉพาะทางสาขาโรคหัวใจ ผมวิ่งสายพานทดสอบการทำงานของหัวใจได้ 30 นาทีแพทย์บอกหัวใจทำงานเป็นปกติ ผมค่อยหายใจโล่งทั้งๆที่เหนื่อยแทบแย่กับการวิ่งบนลู่ซึ่งมีความฝืดเพิ่ม ขึ้นเรื่อยๆในขณะที่แพทย์ให้ผมวิ่ง คราวนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเพราะทำจ่ายตรงไว้
เมื่อหาสาเหตุของโรคไม่เจอผมก็ต้องเบิกยาจากโรงพยาบาลมากินไปก่อน เช่น ยาลดกรด ยาแก้อาการมึนศีรษะ ตาลาย คลื่นไส้ และกลับไปโรงพยาบาลของรัฐอีกแห่งหนึ่งพบแพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวินิจฉัย ส่งตัวผมตรวจเอกเรย์ช่องท้องด้วยวิธี CT Scan ซึ่งเป็นการตรวจช่องท้องด้วยรังสี คราวนี้มีการฉีดสารเคมีซึ่งมีสีแดง เพื่อให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในช่องท้องได้ชัดเจน และแพทย์ได้ฉีดยาแก้แพ้ (เดกซามาธาโซน ซึ่งเป็นยากลุ่มสเตียรอยด์ อันตรายครับถ้าใช้พร่ำเพรือ) เข้าเครื่องตรวจราว 10 นาที ผลการตรวจอวัยวะในช่องท้องเช่น ม้าม ตับ ไต สำไล้ ยังปกติ คราวนี้จ่ายเงินไปก่อน 15,500 บาท เพราะไม่ได้ทำจ่ายตรงไว้แต่เบิกคืนได้ในภายหลัง
!!! ตรวจทุกอย่างก็ไม่พบความผิดปกติแต่อาการที่เป็นอยู่ไม่มีท่าทีว่าจะหาย
8 กันยายน 2558 ผมพบหมอไฝ จากการแนะนำของเพื่อนผ่านทางเฟสบุ้ค ผมบอกอาการที่ผมเป็นให้หมอไฝทราบ หมอไฝก็บอกให้ผมหยุดสาเหตุที่ทำให้ผมป่วยเป็นอันดับแรก คือ ไม่กิน หวาน มัน นม ผลไม้ ขนมปังที่มีส่วนผสมของยีสต์ ครีมเทียม เห็ด จากนั้นผมก็ได้กินอาหารเสริมเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนโดยกินอาหารเสริมทำจาก กล้วยดิบและสารสกัดจากผลไม้หลายตัว กินก่อนนอน 2 แคปซูลระยะเวลากิน 48 วัน หลังจากครบ 48 วันผมรู้สึกได้ว่าอาการปวดท้อง ท้องอืดค่อยๆหายไปครับ แต่ผมยังคงกินอาหารเสริมมาจนทุกวันเพราะเป็นอาหารเสริมนิครับ
15 กันยายน 2558 ผมไปตรวจอาการนอนไม่หลับที่โรงพยาบาลของรัฐพบแพทย์เฉพาะทางสาขาจิตแพทย์ ได้ยานอนหลับมากินเพรียบ (เล็กซาโปร คลอนาซีแปม แอลพลาโซแลม ฮาโลเปอริดอล ) แพทย์ให้กินครั้งแรก 1 เดือน เมื่อหมดยาผมก็ไปรับยาเพิ่มแพทย์ก็ให้กินยาเดิมเหล่านี้ต่ออีก 1 เดือน ซึ่งยาประเภทนี้หากกินไปนานๆคนไข้จะติดยา และต้องเพิ่มปริมาณยา ผมซึ่งจบมาทางด้านนี้ไม่ต้องการกินยาเหล่านี้เป็นเวลานานจึงปรึกษาหมอไฝ เมื่อ
12 กุมภาพันธ์ 2559 หมอไฝบอกว่าจะให้ผมเลิกกินยาเหล่านี้ทั้งหมดให้ได้ และเปลี่ยนมากินอาหารเสริม( แคลเซียมแม็กนีเซียมอะมิโนแดซิดคีเลตและเอนไซม์) เอนไซม์กินครั้งละ 2 ช้อนตอนตื่นนอนและก่อนนอน ส่วนแคลเซียมแม็กนีเซียมอะมิโนแดซิดคีเลตกิน 4 เม็ดก่อนนอน นอกจากนี้หมอไฝก็ได้แนะนำให้ผมกินกระเทียมหัวใหญ่วันละ 9 กลีบ แบ่งกินพร้อมมื้ออาหาร เช้า เที่ยง เย็น มื้อละ 3 กลีบใหญ่ และมะเขือเทศลูกใหญ่วันละ 5 ลูกแบ่งกินตามใจชอบ
เหตุที่กินเพราะหมอไฝบอกผมมีภาวะหลอดเลือดอักเสบ โดยหมอไฝดูจากค่าความดันและค่าไขมัน(ไตรกลีเซอไรด์ในเลือด) และแนะนำให้ผมตากแดดเพิ่มโดยตากแดดก่อน 10 โมงเช้าหรือหลัง 5 โมงเย็นเพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดีเพราะผมมีภาวะขาดวิตามินดีครับ ซึ่งผมก็ปฏิบัติมาจนทุกวันนี้
15 กุมภาพันธ์ 2559 ผมเริ่มลดปริมาณการกินยาจิตเวชทุกชนิดเพราะสังเกตุพบว่าร่างกายเริ่มนอนหลับ ได้เพิ่มขึ้น (ยาในกลุ่มยาจิตเวชจะเลิกทันทีไม่ได้เพราะจะทำให้ร่างกายขาดยา ซึ่งในบางคนจะทำให้มีอาการของโรคเป็นรุนแรงขึ้น) เพราะฉะนั้นยาในกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะต้องค่อยๆลดปริมาณยาลง 25 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน คือยาเม็ดหนึ่งเราก็แบ่งเป็นสี่ส่วน ช่วงเดือนแรกก็กิน 3 ส่วน เดือนที่ 2 ลดมากิน 2 ส่วน เดือนที่ 3 ก็กิน 1 ส่วน เดือนที่ 4 หยุดกินครับ แล้วร่างกายเราโดยเฉพาะสมองจะสามารถปรับตัวได้เองครับจะไม่ทำให้ร่างกาย รู้สึกว่าขาดยาครับ
16 กุมภาพันธ์ 2559 ผมกินอาหารเสริม ถั่วสกัดกับเบตากลูแคน เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายจากภาวะภูมิแพ้ ถั่วสกัดกินก่อนอาหารเช้าและเที่ยงครั้งละ 2 แคบซูล ส่วนเบตากลูแคนกิน 2 แคบซูลก่อน
นอน 10 มีนาคม 2559 ผมเลิกกินยาแก้แพ้โดยเด็ดขาด เพราะร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นแล้วจากการกินเบตากลูแคน (เบตากลูแคนช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นได้รวดเร็ว ป้องกันมะเร็งได้ด้วย) ซึ่งตามปกติคนเรามีเม็ดเลือดขาวประมาณ 5,000-10,000 เซลล์ ในคนที่เป็นภูมิแพ้จะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติครับ ซึ่งเม็ดเลือดขาวของผมก่อนกินเบตากลูแคนจะมีประมาณ 5,400 เซลล์ ผมเจาะเลือดตรวจครั้งล่าสุด 25 พฤษภาคม 2559 พบว่าเม็ดเลือดขาวมีจำนวนเท่ากับ 9,800 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร
ผมตรวจด้วยตนเองเพราะทำงานทางด้านนี้อยู่แล้วครับ นอกจากเลิกกินยาแก้แพ้แล้วผมกินน้ำปั่นล้างพิษสูตรหมอไฝ คือ น้ำปั่นบีทรู๊ท ประกอบด้วย บีทรู๊ท มะเขือเทศ มะนาว เซลารี แครอท น้ำมาผสมอย่างละพอประมาณกินหมดในแต่ละมื้อ (สูตรไม่ตายตัวครับ) และก็กินน้ำมะนาวเมื่อตื่นนอน 1 แก้ว ทุกเช้า (มะนาว 1 ลูกผสมน้ำเปล่าให้ได้ 1 แก้ว) แต่คนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และโรคกรดไหลย้อนไม่ควรกินน้ำมะนาวครับ ต้องรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือกรดไหลย้อนให้หายก่อนครับ สาเหตุที่หมอไฝแนะนำให้กินน้ำมะนาวก็เพื่อปรับภาวะร่างกายเราไม่ให้เป็นกรด น้ำมะนาวเมื่อผ่านกระบวนการย่อยจะกลายเป็นด่างครับ และเมื่อร่างกายเป็นด่าง ร่างกายก็สามารถป้องกันตนเองไม่ได้เชื้อโรครุกรานได้ครับ ออ ผมกินโยเกิตร์ด้วยวันละ 1 ช้อนโต๊ะ สาเหตุที่กินโยเกิตร์ก็เพื่อใช้เป็นอาหารให้กับแบคทีเรียในลำไส้ เนื่องจากในลำไส้ของคนเรามีแบคทีเรีย 2 ชนิด คือทั้งฝ่ายดีและไม่ดี เรากินโยเกิร์ตเพื่อให้แบคทีเรียฝ่ายดีได้เจริญเติบโตและย่อยสารอาหารในลำ ไส้ครับ จากการปฏิบัติตัวของผมตามที่กล่าวมา
วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 เป็นอีกวันที่ผมมีความสุขใจเมื่อผมตรวจเลือดตัวผมเองแล้วพบว่าค่า eGFR ที่เคยต่ำลงไปอยู่ที่ 74 ในช่วงที่ผมกินยาจากทางโรงพยาบาล วันที่ 25 พฤษภาคม 2559 ค่า eGFR ของผมเพิ่มขึ้นเท่ากับ 98 และผมคาดว่าค่านี้จะค่อยๆเพิ่มสูงขึ้นอีกแน่นอนจากการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำ ของหมอไฝโดยเคร่งครัด ส่วนค่าไขมัน การทำงานของตับก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ ผมจึงอยากจะบอกทุกคนว่า ...
ร่างกายของคนเราหากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ โรคต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำอะไรตัวเราได้หรอกครับ ที่สำคัญเราจะต้องไม่กินอาหารที่เป็นขยะเข้าไปในร่างกาย (อาหารจำพวก ผลไม้ หวาน มัน นม เนย ครีมเทียม เห็ด ขนมปังที่ทำจากยีสต์ ) งดสิ่งเหล่านี้ได้ชีวิตก็ปราศจากโรคแล้วครับ และทำให้ร่างกายมีสภาพที่เป็นด่าง ตามที่ผมบอกกล่าวข้างต้นครับ แล้วโรคก็จะไม่เกิดกับตัวเราครับ
โชคดีทุกคนนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น