โฮโมซีสเทอีน ตัวการร้ายก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพาต
ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลก
เกิดจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่มีไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่
เป็นต้น แต่น่าแปลกที่พบว่า ประมาณ 25-30
เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่รับตัวไว้ในโรงพยาบาล
มีไขมันในเลือดปกติ ความดันปกติ ไม่สูบบุหรี่
แสดงว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องมีปัจจัยเสี่ยงชนิดอื่นที่ยังไม่ได้รับการตรวจหา
มีสักกี่คนที่รู้และเข้าใจถึงความร้ายกาจของโฮโมซิสเตอีน
(Homocysteine)
โดยเฉพาะความร้ายกาจหรืออันตรายต่อภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกับคอเลสเตอรอล
โฮโมซิสเตอีน คืออะไร โฮโมซิสเตอีน (Homocysteine)
เกิดจากการเผาผลาญกรดอะมิโนจำเป็นในร่างกาย ที่มีชื่อว่า เมทไธโอนิน
(Methionine) สารชนิดนี้พบมากในเนื้อสัตว์ ไข่ นม ชีส แป้งขาว
อาหารบรรจุกระป๋อง และอาหารที่ผ่านกระบวนการดัดแปลงสูง
ร่างกายของเราต้องการเมทไธโอนิน (Methionine) เพื่อการมีชีวิตอยู่ที่ดี
มีความสมดุลต่อระบบการทำงานของร่างกายในส่วนของระบบการย่อย
การเผาผลาญสารอาหาร ระบบการดูดซึมสารอาหาร
และระบบการลดสารที่เกินความจำเป็นหรือเกินความต้องการของร่างกาย
ร่างกายมักจะเปลี่ยน Homocysteine เป็นซิสเตอีน
(Cysteine)หรือเปลี่ยนกลับมาเป็นเมทไธโอนิน(Methionine)
Cysteine
กับ Methionine เป็นผลิตผลที่ไม่มีพิษภัยต่อระบบการทำงานของร่างกาย
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเอ็นไซม์ที่ใช้ในการย่อยและเผาผลาญ Homocysteine
เป็น Cysteine หรือเปลี่ยนกลับมาเป็น Methionine อีกครั้งหนึ่ง
จะต้องใช้กรดโฟลิก วิตามินบี 12 และวิตามินบี 6 เพื่อทำให้ภารกิจเสร็จสิ้น
ดังนั้นหากเรามีสารอาหารเหล่านี้ไม่เพียงพอแล้ว ระดับของ Homocysteine
ในเลือดจะกลับมาสูงขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจหรือไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับกลไกการทำงานของกระบวนการนี้ในร่างกายเรา
จึงอยากจะนำเสนอผลงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องจากนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าและมีความเชี่ยวชาญ
ในปี ค.ศ.1960 ดร.คิลเมอร์ แม็คคูลลี่
ซึ่งเป็นนักวิจัยทางด้านการแพทย์ที่มีชื่อเสียงในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างศาสตร์ทางด้านชีวเคมีและโรคภัยไข้เจ็บแห่งโรงเรียนทางการแพทย์ฮาร์วาร์ด
สหรัฐอเมริกา จากผลงานวิจัยเรื่องนี้ ดร.แม็คคูลลี่
จึงได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติของการเป็นนักพยาธิวิทยาที่โรงพยาบาลแม็สซาชูเซทซ์
เจเนอรอล
และเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ทางพยาธิวิทยาที่โรงเรียนทางการแพทย์ฮาร์ดวาร์ด
ได้ทำการศึกษาผลของ Homocysteine ต่อระบบการทำงานของร่างกาย
ปริมาณที่มีผลต่อภาวะการเจ็บป่วย โดยสนใจและได้ศึกษาโรคในเด็ก ที่เรียกว่า
Homocystinuria
ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นในเด็กที่มีสาเหตุมาจากความบกพร่องทางพันธุกรรม
เป็นเหตุให้มีการสลายกรดอะมิโนจำเป็น Methionine
ผลตามมาที่เห็นได้ชัดเจนคือ
ร่างกายเด็กเหล่านี้มีการสร้างโฮโมซิสเตอีนมากขึ้น
ดร.แม็คคูลลี่จึงเริ่มทำกรณีศึกษาในเด็กผู้ชาย 2 คน
เพราะมีความแปลกใจกับการเสียชีวิตของเด็กผู้ชายกลุ่มนี้
ซึ่งยังมีอายุไม่ถึง 8 ขวบจากภาวะหัวใจล้มเหลว
เมื่อวิเคราะห์การตรวจสอบแล้วพบว่ามีผลร้ายที่รุนแรงเกิดขึ้นในหลอดเลือดซึ่งเป็นอาการเช่นเดียวกับที่ผู้ใหญ่ประสบภาวะหลอดเลือดแข็งตัวขั้นวิกฤติ
จากผลการตรวจสอบนี้ ดร.แม็คคูลลี่เกิดความสงสัยและศึกษาต่อว่าระดับ
Homocystein ที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ
โดยสาเหตุจากความบกพร่องดังกล่าว
กระบวนการทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นในร่างกายเพื่อเผาผลาญและย่อยสลาย
Homocysteine เรียกว่ากระบวนการ Methylation ที่น่าวิตกมากไปกว่านั้นคือ
หากกระบวนการ Methylation
มีปัญหาและเกิดได้ไม่สมบูรณ์จะไม่เพียงส่งผลต่อการลดระดับ Homocysteine
ในเลือดเท่านั้น
แต่ยังส่งผลต่อการสร้างปัญหาให้เกิดโรคเกี่ยวกับความเสื่อมเรื้อรัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมะเร็งและโรคอัลไซเมอร์
Homocysteine
เป็นสารเคมีที่เกิดจากเมตาบอลิซึมของ Methionine
ซึ่งร่างกายได้รับจากอาหารประเภทโปรตีน โดยปกติระดับของ Homocysteine
ในเลือดอยู่ระหว่าง 5-15 µmol/L ถ้าระดับของ Homocysteine
ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อผนังด้านในของหลอดเลือด
(endothelial damage) ทีละน้อย จนในที่สุดทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน
Homocysteine
เป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผนังด้านในของหลอดเลือดโดยตรง
ดังนั้นถ้า Homocysteine ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลานานๆ ติดต่อกัน
ผนังด้านในหลอดเลือดจะเริ่มขรุขระและเริ่มมี plaque
เกิดขึ้นตามมาในที่สุดก็เกิดการอุดตัน หรือ
ตีบแคบลงนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด
หากได้รับการตรวจเช็คและแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ
การก่อความเสียหายต่อผนังหลอดเลือดก็จะน้อยลง
ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันหรือตีบแคบลงตามไปด้วย
การเพิ่มสูงของ
Homocysteine
ในเลือดยังส่งผลเสียต่อหลอดเลือดทั่วร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดที่มีขนาดเล็ก
เช่น หลอดเลือดในสมอง ดังนั้นการมีระดับ Homocysteine
ในเลือดเพิ่มขึ้นก็อาจก่อให้เกิดอาการ อัมพฤกษ์ หรือ อัมพาต
จากการตีบตันของหลอดเลือดในสมองได้เร็วกว่าวัยอันควร
Cholesterol กับ Homocysteine
พบว่าประมาณ 25-30%
ของผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่รับตัวไว้ในโรงพยาบาลไม่พบปัจจัยเสี่ยงสำคัญๆ
เช่น ไขมันในเลือดสูง, ความดันสูง, สูบบุหรี่ เป็นต้น
แสดงว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้จะต้องมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ ปัจจุบันพบว่า Homocysteine
มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Cholesterol
งานวิจัยจากหลายสถาบันในสหรัฐอเมริกา พบว่าการมีระดับ Homocysteine
ในเลือดเพิ่มสูงขึ้นทำให้อัตราการเสี่ยงจากโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มสูงกว่า 2
เท่า ของคนที่มีระดับ Homocysteine ปกติ
ลักษณะอาการผิดปกติเมื่อค่าของสารโฮโมซีสเทอีนสูงจะมีลักษณะอย่างไร
อาการจะมีลักษณะคล้ายกับอาการของภาวะไขมันในเลือดสูงเหมือนกัน
อาจมาพบแพทย์ด้วยเรื่องของอาการเจ็บแน่นหน้าอก
ในกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือมีอาการอัมพฤกษ์ -
อัมพาตเกิดขึ้น
ในกรณีของผู้ป่วยที่มีปัญหาของหลอดเลือดโดยทั่วไปในสมองอุดตัน
วิธีการป้องกันไม่ให้สารโฮโมซีสเทอีนมีค่าสูงขึ้น
เนื่องจากสารโฮโมซีสเทอีนในเลือดเกิดจากการรับประทานอาหารโปรตีนมากเกินไป
เพราะฉะนั้น
ถ้าเราไม่ต้องการให้เลือดมีระดับของสารโฮโมซีสเทอีนที่สูงกว่าความเป็นจริง
เราก็ควรลดอาหารโปรตีนลงมา แล้วเพิ่มกลุ่มอาหารประเภทผักและผลไม้มากขึ้น
พฤติกรรมการรับประทานแบบไทยๆ ดีอยู่แล้ว
เพราะจะทำให้ระดับโฮโมซีสเทอีนในเลือดไม่สูงเกินไป
และไม่ทำอันตรายต่อร่างกาย และถ้าเราไม่แน่ใจว่ารับประทานอาหารกลุ่มต่างๆ
ได้เพียงพอ
แพทย์สามารถสั่งวิตามินที่มีความสำคัญในการลดระดับของโฮโมซีสเทอีนในเลือดลงมาได้
ก็จะทำให้ระดับโฮโมซีสเทอีนในเลือดไม่สูงเกินความเป็นจริงที่ควรจะเป็น
อันตรายก็จะไม่เกิดขึ้นกับผนังหลอดเลือด
สารโฮโมซีสทีนจะขับออกมาทางปัสสาวะ คือ ทางไต เพราะฉะนั้น
การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยทำให้ระบบเลือดหมุนเวียนดีขึ้น
ระบบสูบฉีดโลหิตดี สารโฮโมซีสเทอีนก็จะถูกขับถ่ายออกทางไตได้ดีมาก
และจะเผาผลาญไขมันส่วนอื่นออกไปด้วย นอกจากนี้
การตรวจวัดระดับโฮโมซิสทีนอยู่เสมอ
จะทำให้ทราบถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายดังกล่าวได้ดี
อีกทั้งยังสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมต่อภาวะสุขภาพร่างกายของตนได้อีกด้วย
เพื่อลดความเสี่ยงจากการเผชิญกับโรคภัยต่างๆ
Cr: นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น